บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 คนมีคู่ไม่รู้หรอก

“ปาริตา ผมบอกให้คุณหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารโลก... แล้วนี่อะไร? ผลงานของเด็กปฐมเหรอ!” เสียงเกรี้ยวกราดตวาดขึ้นตรงหน้า แต่ปาริตาก็ไม่กล้าสบตาต่อ...เธอทำได้เพียงไหล่ห่อหน้าแหยเหล่ตามอง ตอบกลับเท่านั้น

ใครๆก็รู้ดีว่า ถ้าบอสโกรธคือต้องทำตัวหดให้มากที่สุด เพราะมิเช่นนั้นอวัยวะบนร่างกายอาจจะหลุดกระเด็นได้ บอสหรือชาตรีหัวหน้าแผนกวารสารที่เธอทำงานอยู่

ชื่อเสียงของเขานั้นเป็นที่รู้กันดีว่า หากไม่พอใจในงานใด...เขาจะไม่ไว้หน้า และคนที่ทำอะไรไม่ค่อยได้เรื่องอย่างเธอก็เลยโดนไม่ไว้หน้าอยู่บ่อยๆ ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะคนอย่างเธอก็ไม่สามารถจะทำใจให้ชินได้

“คือบอสคะ ปริมว่าบอสใจเย็นก่อนนะคะ คือสิ่งที่ปริมจะนำเสนอคือผลงานชั้นเยี่ยมเลยนะคะ เป็นอาหารระดับภัตตาคารที่โรงแรมชื่อดังก็ยังต้องมีเมนูนี้...”

“พระเจ้า นี่ผมกำลังมีพนักงานที่มองอะไรได้คับแคบที่สุดเลยหรือนี่... บริษัทเรามาถึงจุดๆ นี้กันได้ยังไง? มันเกิดอะไรขึ้น!” สีเข้มของใบหน้ายังไม่เข้มเท่าวาจาที่เชือดเฉือน ทำไมชีวิตมนุษย์เงินเดือนถึงได้ยากเย็นขนาดนี้! ปาริตาพยายามหลับตาพ่นลมหายใจสามทีบอกตัวเอง...ให้ใจเย็นเอาไว้

“งั้น บอสให้โอกาสปริมได้ไปมองโลกกว้างหน่อยเป็นไงคะ ปริมจะได้มองอะไรให้มันกว้างขึ้น” แต่แอบคิดในใจว่า...บอสด้วยนะคะ ไปมองโลกกว้างเผื่อใจจะกว้างๆ ขึ้นกว่านี้หน่อย

“อย่ามาพูดอะไรพล่อยๆ แบบนั้น ผมให้เวลาคุณสามวันกับผลงานชิ้นใหม่ วารสารออนไลน์ของเราตอบโจทย์ความกว้างไกล ถ้าคุณหามาไม่ได้...คุณก็คงต้องพิจารณาตัวเอง” บอสด้วยนะคะพิจารณาตัวเองซะบ้าง

เธอแอบเถียงเขาเบาๆ อยู่ในใจ ปกติแล้วเธอเป็นคนที่...ค่อนข้างไม่ยอมใคร เถียงสุดล่าฟ้าไกลเลยแหละ ไม่ว่าพ่อ แม่หรือญาติพี่น้อง จนใครๆ ก็มองว่า เธอมันหัวดื้อ ไม่มีของดีอยู่ในมือแต่ก็ดื้อไม่มีที่สุด

“บอสพูดคำนี้มาครั้งที่ 24 ตั้งแต่ปริมมาทำงานที่นี่แล้วค่ะ”

“และจากนี้ไปจะไม่มีครั้งที่ 25 ผมรับรอง”

“หมายความว่า...ครั้งนี้ปริมจะพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้นจนเป็นที่พอใจของบอสงั้นเหรอคะ?” แววตาใสๆริมฝีปากฉับไวโต้กลับ จนคนหัวล้านอยากจะเอามือขึ้นมากุมขมับขึ้นมา

“นั่นมันขึ้นอยู่กับคุณ ไม่ใช่ผม! ยู อาร์ อันเดอร์ สแตนด์?” ปาริตาทำปากยื่นเล็กน้อย ก่อนผงกหัวรับ

“โอเค ไอแคน” แล้วเธอก็หยิบแฟ้มในมือแน่นแนบอกออกไป พร้อมกับพ่นลมหายใจเล่น เธอรู้นิสัยของบอสดีว่าเขาให้โอกาสทุกคนพัฒนางานใหม่ๆ ได้เสมอ แต่สิ่งที่เธอเครียดกว่า...เธอจะตีโจทย์ของคำว่าอาหารโลกได้ยังไง

ในเมื่อ...ผลงานที่เธอว่าเธอปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร อย่างทิชางามหัวหน้าแม่ครัวของโรงแรมชื่อดังมาเป็นอย่างดี มีที่มาที่ไปเลยนะไม่ได้มั่ว แต่บอสต้องการจะสื่ออะไร? เขามักตั้งโจทย์ให้ขยายไอเดียแบบนี้เสมอ

“แหม หน้ามุ่ยออกมาเชียวนะ...เป็นไง โดนบอสกินส่วนไหนเข้าไปบ้าง?”

“ไม่ใช่หรอกแก เขาเรียกว่าเดินหัวขาดออกมามากกว่า” เพื่อนสาวในบริษัทเอ่ยแซวอย่างเป็นที่รู้กัน เพราะไม่เคยมีใครงานผ่านตั้งแต่รอบแรก

ฉะนั้น...มันไม่แปลกอะไรเลย

“พวกแกหุบปากกันไปให้หมดเลยนะ ฉันกำลังเครียดเดี๋ยวก็เขมือบหัวซะเลยนี่” เธอหันไปทำหน้าเหวี่ยงให้ตามแบบฉบับไม่ยอมใครของตัวเอง ซึ่งทุกคนก็ทราบดีและมองว่าเหมาะกันแล้วกับการร่วมงานกันของบอสและปาริตา

หลังจากงานแต่งงานของเพื่อนรักอย่างการิตาได้ผ่านพ้นไป เธอก็ทำได้เพียงแค่เหงา เพราะไม่ใช่แค่การิตาที่รักหวานฉ่ำราวอยู่บนสรวงสวรรค์ บารีน่า น่านราตรี ทิชางาม พินยา ต่างก็เริงร่าอยู่กับผู้ชายของตน มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น ที่ต้องกลายเป็นดอกไม้เฉาเหงาอยู่บนคาน

งานเลี้ยงเพื่อนประจำเดือนก็ต้องเลื่อนไปเพราะการิตาไปฮันนีมูนที่มัลดีฟส์ เกาะในฝันของคู่รัก ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าน้อยใจทำไม...ทำไมเธอถึงต้องเป็นฝ่ายเฉาตายอยู่คนเดียว

รักก็ไม่รุ่งงานก็ยุ่งเหยิง ผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตช่วงนี้แทบไม่มีเลยก็ว่าได้...

และแล้วภาพผู้ชายผิวสีแทนคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมา แววตาคมดุเป็นเชิงล้อของเขา กับวาจาที่เป่าแต่คำร้ายๆ ออกมา...

เธอรีบสะบัดหัวอย่างไม่อยากให้ตัวเองไปเสียเวลากับคนแบบเขา ผู้ชายอะไร...ไร้มารยาท!

‘โห คุณนี่กล้ามากเลยนะ...แต่งหน้าอย่างกับจะไปเล่นงิ้ว ใส่ชุดอวดผิวเหี่ยวย่น ป้าครับ...ผมว่าป้าพิจารณาหน้ากระจกนานๆ ก่อนออกจากบ้านบ้างนะ’ เธอแทบอย่างคว้าแก้วไวน์ปาใส่หน้าเขา ในค่ำคืนงานแต่งของการิตา

“ไม่เอา อย่าไปคิดถึงให้เสียสุขภาพจิต” เธอสะบัดหัวไปมาหวังจะให้เขาหลุดออกจากความคิด...แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นน่ะสิ

‘ผมว่าช่อดอกไม้ที่ผมให้คุณไป ให้คนอื่นเขาไปเถอะนะ ผมนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่า...ใครจะกล้าแต่งงานกับคุณน่ะ’ เขาตามมาเสริมทับหลังจากที่นำความอับอายมาสู่เธอในคืนนั้น ด้วยการเอาช่อดอกไม้ที่ตกไปเป็นของเขาโดยบังเอิญ...มายื่นให้กับเธอ ด้วยเหตุผลเพียงว่า ผู้หญิงอย่างเธอคงจะไม่ได้ดอกไม้จากใคร

‘ไอ้พี่กร! ฉันไม่ทนกับนายแล้วนะ’

‘ทำไม รับความจริงไม่ได้ว่างั้น?’

‘คอยดูนะ ฉันจะแต่งงานให้นายดู!’

‘สู้ๆ จะคอยดูนะจ้ะ’ เขายิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงระเบียบพร้อมกับแววตาหวานเจี๊ยบที่ส่งมา เขาจะดูมีเสน่ห์มากเลยนะ ถ้าเขาไม่ด่าเธอก่อนหน้านี้!

ดูสิ โชคชะตาไม่เห็นใจเธอบ้างเลย นอกจากจะไม่มีผู้ชายผ่านเข้ามาแล้ว ยังมีผู้ชายเข้ามาทำให้อยากบ้าตาย มันน่าโมโห โถ...ปาริตา

“ฮัลโหลว่าไง” เธอกรอกเสียงลงไปตามสายอย่างแสนเพลีย เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา

“แหม น้ำเสียงนี่งอนใช้ได้เลยนะจ้ะ” น่านราตรีเอ่ยอย่างมีอารมณ์ขัน ซึ่งปาริตานั้น...ไม่ขันด้วยเลยสักนิด

“มีอะไรจะอวดก็ว่ามา”

“แหม นี่ดูฮาร์ดคอร์ขึ้นเยอะเลยนะจ้ะ ไม่กุ๊งกิ๊งใสๆแล้วเหรอ น้ำเสียงนี่แข็งเชียว”

“ช่วงนี้เครียดๆ เรื่องงานน่ะ มีอะไรก็รีบๆ ว่ามาเลย” เมื่อได้ยินแบบนั้นปลายสายก็แอบตกใจเล็กน้อย

“ไม่โอเคเหรอ ฉันพอจะช่วยอะไรได้บ้างมั้ย” แม้จะรู้ดีว่าคนอย่างปาริตาไม่มีวันขอความช่วยเหลือแน่ๆ แต่เธอก็ไม่อยากให้เพื่อนไม่สบายใจ คนออกแนวหวานๆ ใสๆ แบบปาริตาแต่พอเจอความหนักหนาหรือเหน็ดเหนื่อย เธอจะแข็งและเย็นชาขึ้น ซึ่งความจริงข้อนี้ไม่ค่อยจะมีใครเห็นเท่าไหร่นัก

“แกอย่ามาพูดเหมือนแม่หน่อยเลย ทางที่ฉันเลือกเองฉันก็ต้องแก้เองอีกสิ”

“งานประชดก็มา ไม่เอาละไม่พูดดีกว่า อวดเลยดีกว่า... ตอนนี้ฉันกับแซมมี่กำลังนอนดูพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าด้วยแหละ โรแมนติ๊คโรแมนติค” น่านราตรีแกล้งอวดไปแบบนั้นเพื่อให้เพื่อนสบายใจ แม้จะรู้ดีว่าไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ก็ตาม

“ย่ะ งั้นแกก็รีบไปจูบกันรับแสงตะวันยามเย็นเลยไป”

“เดี๋ยวสิ ฉันแค่มีงานอยากจะฝากให้แกไป เพราะตอนนี้ไม่มีใครว่างเลย”

“งานใช้ก็มา...”

“งานกินฟรีล่ะไม่ว่า คุณยายดวงเขาให้ฉันชวนให้ คุณยายแกทำมหกรรมขนมไทยร่วมกับแม่ยัยก๋า ซึ่งรับรองว่าต้องอร่อยมากแน่ๆ สนมั้ยจ้ะ?” คนที่กำลังนั่งเปิดหนังสืออ่านรู้สึกสดชื่นขึ้นมา เพราะเธอคือนักชิมตัวแม่ ขอแค่ให้เชิญ!

“อย่างนี้ค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย” น้ำเสียงของเพื่อนที่เปลี่ยนไปทำให้น่านราตรียิ้มออก คนที่รักและห่วงเพื่อนเสมออย่างเธอทนเห็นเพื่อนเศร้าไม่ได้ ไม่ว่าเพื่อนคนไหนก็ตาม

“จ้ะ กลับมาสดใสเร็วๆ ฉันนี่นะโคตรจะไม่ชอบเสียงเย็นชาของแกเลย” เมื่อน่านราตรีวางสายไป รอยยิ้มสดใสก็หายไปพร้อมๆ กัน เธอกลับมาสู่โหมดเดิม ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

ร่างเพรียวบางราวนางแบบกับชุดเดรสยาวกรอมเข่าลายลูกไม้เรียบง่าย รับกับทรงผมที่ถูกปล่อยสยายตามฉบับสาวหวาน น่าแปลกเธอแต่งหน้าให้อ่อนลงกว่าปกติ...เมื่อนึกถึงคำตำหนิของใครบางคนขึ้นมา

แล้วทำไมเธอต้องสนใจด้วยล่ะว่าเขาจะว่ายังไง และเธอก็หวังว่าเขาจะไม่ได้มาร่วมงานนี้ด้วย คงไปตัดกล้วยให้หมูในฟาร์มกินอยู่ที่บ้านละมั้ง...

เธอไม่เคยย่างกรายไปเยี่ยมเยียนบ้านการิตาเพราะเธอคิดว่าตัวเองคงอยู่ในสภาพชนบทไม่ไหว เธอรักความสบายมากกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองแล้ว เธอก็รีบออกจากคอนโดหรูไป ด้วยความที่เธอรักความสะดวกจึงเลือกที่จะอยู่ใจกลางเมืองแทนที่จะอยู่บ้านเพราะใกล้ที่ทำงานมากกว่า

“ว่าไงครับแม่” ธนากรรับโทรศัพท์ขณะนอนแผ่ไปบนโซฟาโรงแรมหรูที่มาเช่าขณะอยู่เคลียร์งานที่กรุงเทพ วันนี้เขาวิ่งวุ่นวายมาทั้งวันเรื่องการประสานกับโรงงานผลิตอาหารแปรรูป ซึ่งตอนนี้ไร่ของเขาเป็นที่นิยมในเรื่องของประสิทธิภาพสินค้า บริษัทเกี่ยวกับอาหารต่างๆ จึงสนใจเป็นพิเศษ

ซึ่งเขาก็ต้องใช้กลเม็ดเด็ดในการต่อรองเชิงธุรกิจ ซึ่งคนตรงๆ พูดจาโผงผางอย่างเขา พินอบพิเทาให้ใครไม่เป็นซะด้วย

“คืนนี้ว่างมั้ย มาช่วยแม่ชิมขนมหน่อย”

“อื้อหือ มีของอร่อยๆ มาล่อขนาดนี้ เห็นทีจะไม่กล้าปฏิเสธ”

“งั้นก็รีบมาไวๆ เลยนะ ขนมของแม่นี่นะ ทั้งสวยทั้งหวาน” เขาชะงักให้กับเนื้อหาบางอย่างที่แม่แฝงเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากรับคำ

เขายืดเส้นยืดสายไล่ความเมื่อยล้า...ก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปโดยเปลื้องผ้าออกอย่างไม่ใยดี หลังจากเสร็จงานแต่งงานการิตา เหมือนความเหนื่อยล้าจะมีมาให้เขาทุกวัน แต่เพราะเขาเป็นคนมีอารมณ์ขันก็เลยไม่ได้เครียดอะไร

ธนากรเป็นชายไทยทั่วไปได้มาตรฐาน แต่สิ่งที่เหนือกว่าชายทั่วไปคือแววตาคมดุร้าย ผิวสีแทนเข้มแบบฉบับหนุ่มบ้านไร่รับกลับกล้ามเนื้อเป็นมัดที่หยัดตามแขนขา

แผ่นหลังที่กว้างดุจท้องฟ้ายามเย็น อบอุ่นซ่อนเร้นความแกร่ง ยิ่งใบหน้าคมคร้ามตามฉบับไทยๆ ที่เขาได้มาจากผู้เป็นพ่อ ทำให้เขาเป็นที่หมายของสาวๆ มากมายเหมือนกัน

แต่เพราะเขามีแต่งาน งาน งาน...ก็เลยยังไม่มีใครผ่านเข้ามาจริงจังสักที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel