บท
ตั้งค่า

9 คนจากไปไม่ร้อง คนอยู่กับร้องแทน

ผ่านไปหลายปีคล้ายเพียงชั่วครู่

ยามนี้จูมี่เอินอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว หากนางเป็นสาวชาวบ้านปกติถ้าเลยวัยปักปิ่นคงถูกบิดามารดารีบพาไปหาบุรุษมาแต่งออกไปเป็นแน่ แต่นางเป็นคนของอาราม ต่อให้นางหน้าตาดีแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้ามาทาบทาม

ความจริง...ก็มีมาบ้างนั้นแหละ นางงดงามถึงเพียงนี้ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องชมชอบ

มีบางครั้งหนุ่มชาวบ้านก็มาตามจีบนาง แต่กับพบว่านางนั้นนิสัยคล้ายนักบวชเหลือเกิน พวกเขามาจีบนางกลับไม่รู้เรื่อง

เทียวไปมาหาสู่นางอยู่ทุกวันแต่นางเล่าทำอันใด! นางกลับชวนพวกเขาบวชเข้าอารามด้วยเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขานั้นเลื่อมใสในทางเดินของลัทธิเต๋า จนเป็นบุรุษเหล่านั้นที่พากันถอดถอนใจไปแต่งสตรีอื่นเข้าบ้านแทน

หลี่ลู่ซือยืนมองเด็กสาวโตเต็มวัยพร้อมออกเรือนกำลังขมักเขม้นกวาดใบไม้กลางลานเหมือนทุกวัน มองนางสวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเก่าๆ ที่มีเพียงไม่กี่ตัวแล้วก็ปลงตกแทนนาง นางเหมาะจะเป็นนักบวชจริงๆ นั้นแหละ แต่หลี่ลู่ซือไม่อาจบวชให้นางได้สมใจปรารถนา

เขานั้นเห็นเรื่องราวเหล่านั้นทั้งหมด ทั้งความตั้งใจในการบวชเรียนของนาง หากแต่เขายังไม่อาจตัดใจให้นางเป็นนักบวชหญิงได้ เขาคิดว่านางน่าจะมีชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพียงแค่รอเวลานางจากอารามไปเท่านั้น เดินไปตามทางที่ชะตาชีวิตของนางได้กำหนดไว้

ยิ่งเมื่อมองดูบุรุษพวกนั้นที่มาตามจีบนาง ต่อให้เขาเป็นเพียงอาจารย์หาใช่บิดาของนางเขาก็ไม่อาจยกนางให้ใครไปได้ คนพวกนั้นหลงใหลเพียงรูปโฉมภายนอกของนาง พอได้รู้นิสัยกับพากันส่ายหน้าหนีไป ไม่ได้ชมชอบนางจากใจจริง ไม่ได้ชมชอบนางจากนิสัยของนาง

หลี่ลู่ซือเองไม่ใช่ไม่กังวลที่จูมี่เอินเลยวัยปักปิ่นมานานแล้วกลับยังไม่แต่งไปบ้านใด หากช้ากว่านี้คงไม่มีใครอยากรับนางเข้าบ้านเป็นแน่

แต่เมื่อมองจูมี่เอินแล้วนางคงไม่วิตกกังวลเรื่องนั้นเท่าไหร่ เป็นเขามากกว่าที่คิดแทนนาง ตัวเขานั้นบวชมานานควรจะเข้าใจทางโลกมากกว่านี้ แต่เรื่องบางเรื่องยังไม่อาจสู้นางได้เลย

"อาจารย์ลู่!" ทันทีที่เห็นอาจารย์ออกมาจากห้องสวดมนต์นางก็ปรี่เข้ามาหาทันที

นั่นไงมาอีกแล้ว หลี่ลู่ซือมองคนที่เดินพุ่งเข้ามาหาตน เวลานางเจอเขาหรือเหล่าศิษย์พี่ของนางท่าทางของนางมักจะซุกซนไม่เปลี่ยนจากยามเด็กเท่าไหร่ แต่ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ดูสุขุมมากจนคล้ายเทพเซียนลงมากวาดอารามให้มนุษย์

แล้วตอนนั้นเขาบอกนางว่าเขาชื่อหลี่ลู่ซือ นางว่าเรียกยากขอเรียกอาจารย์ลู่พอ เขาบอกให้เรียกท่านนักบวช แต่จนแล้วจนรอดยังไงนางก็ไม่เคยเปลี่ยนคำเรียก จนศิษย์พี่ของนางเองก็พากันเรียกเขาตามนางไปด้วย เด็กน้อยดื้อรั้นในวันนั้นโตมาขนาดนี้ตอนไหนก็ไม่ทันได้สังเกต

ไหนจะนิสัยชอบเรียกเขาตลอดเวลานั้นอีก ปกติไม่เจอหน้าก็เรียก ยามเจอไหนเลยจะอดที่จะเรียกไม่ได้ ตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน

จูมี่เอินตัวเล็กแต่กลับว่องไวมาก ไม่นานก็มาถึงตัวหลี่ลู่ซือ

"อาจารย์ลู่" นางทิ้งไม้กวาดในมือลงทันที จนมันล้มไปกระแทกพื้นดัง 'ปัก' แต่ก็หาใส่ใจไม่ กลับยกมือผสานเคารวะอาจารย์ตนเองด้วยรอยยิ้มสดใส เงยหน้ามองเขาที่อยู่บนอารามสูงกว่าตนหลายขั้นบันได

พรึบๆ

ทว่าแสงสีทองก็วาบผ่านดวงตาของนาง

พรึบ

จูมี่เอินกระพริบตาถี่ กลับสู่โลกของความจริง

"ท่านอาจารย์..." นางเรียกเขาแผ่วเบา น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างไม่รู้ว่ามีมาตอนไหน แววตาวูบไหวระคนตกใจ มือที่ยกผสานอยู่ก็สั่นอย่างหวาดกลัว

"ข้ารู้ คนเราเกิดมาย่อมต้องตาย" หลี่ลู่ซืออยู่ใกล้นางมาก เขาสามารถเห็นแสงสีทองในดวงตาของนางที่วาบผ่านได้อย่างชัดเจน เขาเองไม่รู้ว่าอนาคตเป็นเช่นไร มิได้มีพลังวิเศษเช่นนาง แต่ดวงตาตื่นตะหนกของนางที่มองมายังเขานั้นก็เดาได้ไม่ยาก วันเวลาของเขาคงใกล้จะหมดลงแล้ว

เด็กสาวตัวเล็กชะงักค้างนิ่งงัน ไม่รู้ควรตกใจสิ่งใดก่อน ตกใจที่เห็นว่าคนที่คอยอบรมสั่งสอนนาง สอนพิธีกรรม สอนคาถา ให้ข้าวให้น้ำและที่พักพิงกับนางกำลังจะจากไป หรือควรจะตกใจที่เขารู้มาตลอดว่านางสามารถมองเห็นอนาคตได้ ไม่แน่ว่าเขาเองก็เห็นเหมือนกันถึงได้มีท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นนี้ใช่หรือไม่

หลี่ลู่ซือมองใบหน้าของหญิงสาวที่มีน้ำตาไหลออกมา ไยคนจะตายกลับไม่ร้อง คนอยู่ถึงร้องเอง นี่คือสัจธรรมของโลกหรือ ผู้จากไปไม่เจ็บปวดกลับเป็นคนที่อยู่ที่เจ็บปวดแทน

"ท่านก็มองเห็นอนาคตหรือท่านอาจารย์?" จูมี่เอินเค้นเสียงถามออกไปได้ในที่สุด น้ำเสียงนั้นแหบพร่าแทบฟังไม่ออกว่านางกล่าวสิ่งใด

หลี่ลู่ซือส่ายหน้า

"มี่เอินเจ้าเป็นคนที่มีชะตาที่ยิ่งใหญ่" ในเมื่อรู้ว่าตนจะไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ควรตัดสินใจพูดมาหลายปีก็ควรพูดเสียที "การที่เจ้ามีพรวิเศษหรือพลังวิเศษต่างจากคนอื่นไม่ใช่เรื่องผิด อย่าอยู่กับมันด้วยความกลัว จงเชื่อมั่นและใช้ชีวิตเถิด"

"ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์" ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ได้ช่วยบุรุษผู้นั้นไว้นางก็ยอมรับพลังวิเศษนี้ของนางได้บางส่วนแล้ว เพียงแต่เมื่อเห็นชาวบ้านในนิมิตรแล้วนางก็ไม่ได้บอกอะไรพวกเขา เพราะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเชื่อ ซ้ำยังจะทำให้คนรอบตัวนางลำบาก นางคิดว่าควรใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อคนที่เชื่อมั่นในตัวนางจะดีกว่า หลายปีที่ผ่านมาต่อให้เห็นนิมิตรก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกผู้ใดอีกเลย

จูมี่เอินปาดน้ำตาของตนทิ้งไป ใช้ชีวิตที่นี่มานานได้เรียนรู้ความเป็นไปของโลก รู้ว่าควรต้องปล่อยวาง หากแต่นางเองก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์องค์ใด ยิ่งไม่ใช่เทพเซียนยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า ต่อให้ร่ำเรียนมาหลายปีในทางเต๋านางก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง เมื่อรู้ว่าอาจารย์ที่เป็นเหมือนบิดาอีกคนกำลังจะจากไปก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกของตนเองได้

นางใช้ดวงตาคู่ที่มองเห็นอนาคตจ้องไปยังหลี่ลู่ซือที่อยู่สูงกว่าตน เขาเองหลุบตาลงต่ำมองมาที่นางพลางยกยิ้มบางเบาส่งมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ทุกข์ร้อน ทำให้จูมี่เอินจิตใจสงบลงได้บ้าง แต่ค่ำคืนนั้นก็ข่มตานอนได้ยากกว่าทุกวันจริงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel