8 เหล่าศิษย์พี่
เมื่อถึงอารามนางก็รีบเข้าไปด้านใน ทิ้งคานที่หาบอยู่บนไหล่ลงไปที่พื้น รีบหันกลับปิดประตูทันที ใส่กลอนไม้ลงอย่างแน่นหนา เอามือตบไปบนบานประตูหลายครั้งเพื่อดูว่ามันแน่นดีหรือไม่ ปกติอารามจะเปิดประตูไว้จนถึงหลังยามเซินค่อยมาปิด ซึ่งก็คือต่อจากเวลาในตอนนี้สักพักถึงค่อยจะปิดได้ แต่จูมี่เอินไม่วางใจนางรู้สึกไม่ดีนางปิดไว้ดีกว่า
จูมี่เอินยกคานกลับมาใส่บ่า เมื่อหันกลับไปเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เจอศิษย์พี่ของนางเข้าพอดี
"ศิษย์น้องอู่ เหตุใดมีสีหน้าเช่นนั้น" ศิษย์พี่อีเห็นนางวิ่งกลับมาด้วยถังที่ว่างเปล่า ที่ขากางเกงยังเปียกน้ำเหมือนหกล้มจนน้ำเลอะขามาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ "เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเจ้ารึไม่" เขาถามนางด้วยความเป็นห่วง รีบเดินเข้ามาดูจับตัวนางพลิกซ้ายทีขวาที เด็กหญิงคนนี้เขาเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ตัวเท่าเอว เห็นนางเป็นน้องสาวแท้ๆ ไปแล้ว พอคิดว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับนางก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้
ศิษย์พี่เอ้อร์เห็นคล้ายศิษย์พี่อีกำลังแกล้งน้องเล็กของเขาก็รีบเดินมาดู ร่างบางของน้องอู่กำลังถูกจับหันไปหันมา ใบหน้าเล็กก็ดูตื่นกลัวต่างจากปกติที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ ไว้เสมอ
"ท่านแกล้งอันใดนาง!?"
"ท่านทำอะไร/ท่านทำอะไร?" ศิษย์อีกสองคนที่เหลือพอได้ยินเสียงโวยวายด้านนอกก็ตามออกมาจากห้องอ่านหนังสือทันที ในมือยังถือม้วนตำราติดมือมาคล้ายจะเอามาฟาดคนอีกด้วย
สรุปตอนนี้จูมี่เอินกำลังโดนล้อมอยู่ ส่วนอีกคนก็ตกเป็นเป้าสายตาว่าเป็นคนรังแกน้องเล็ก
ศิษย์พี่อีเป็นศิษย์คนแรกมักจะมีความสุขุมพูดน้อยอยู่แล้วเพราะต้องเป็นแบบอย่างให้น้องๆ ยามนี้กลับถูกถามเช่นนี้ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง มองท่าทางที่ตนจับน้องเล็กหันไปหันมาก็สมควรแล้วที่จะถูกเข้าใจผิดไป
"ศิษย์พี่พวกท่านใจเย็นก่อน" จูมี่เอินรู้สึกอุ่นวาบในอกที่มีคนคอยห่วงใยนางเช่นนี้ ท่าทีที่ศิษย์พี่อีโดนสงสัยนั้นก็ตลกมาก แต่ไม่อาจทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดได้นาน นางจึงอธิบายออกไป "ข้าแค่ลื่นทำน้ำหกหมดเท่านั้น" เพิ่งจะสังเกตเห็นขาของตนที่เปียกเพราะเทน้ำทิ้งด้วยความรีบร้อน ตอนนี้จึงคิดได้เหตุผลเดียวเท่านั้น นางจึงพูดปดออกไปแถมยังตบท้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางดั่งที่เคยชอบทำ
"เจ้าเจ็บตรงไหนรึไม่?"
"นั่นสิได้บาดแผลรึไม่?"
"ไหนข้าดูหน่อย"
"ข้าจะไปเอายา!"
พอนางพูดออกไปไม่มีใครตำหนินางที่ไม่ได้น้ำกลับมา ซ้ำยังเป็นห่วงนางแทน ท่าทางร้อนรนของพวกเขาทำให้ใจของจูมี่เอินรู้สึกอบอุ่น
"ท่านไม่ต้องไปๆ ข้าไม่ได้เจ็บ" นางบอกศิษย์พี่ซานที่ทำท่าจะเดินไปเอายาให้หยุดลง
"เจ้าไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวศิษย์พี่เป็นคนไปตักน้ำแทนเจ้าเอง เจ้าไปพักเถอะ" ศิษย์พี่อียกคานจากตัวของจูมี่เอินขึ้นมาใส่บ่าตนเองแล้วเดินไปทางประตูทางออกของอาราม
คนอื่นก็รีบเห็นด้วยบอกให้นางไปพัก
"ใช่ๆ /ไปพักๆ" ต่างพากันแย่งกันพูดด้วยความใส่ใจน้องเล็กของตน
"ศิษย์พี่ๆๆๆ" จูมี่เอินรีบวิ่งไปดักเขา ยกแขนเอาตัวแนบประตูพอคิดว่าตนดูมีพิรุธเกินไปก็รับเปลี่ยนท่าทางใหม่ ก้าวไปหาศิษย์พี่อีจากนั้นยกคานที่บ่าของเขาออกแล้วบอกว่า "ข้าตักมาเต็มแล้ว รอบนี้รอบสุดท้ายจะเอามาคาถังไว้เฉยๆ น้ำที่ตักมาก่อนหน้านี้ก็ใช้ได้อีกหลายวัน ท่านไม่ต้องออกไปหรอกเจ้าค่ะ"
"งั้นรึ" ศิษย์พี่อีรู้ว่านางนั้นขยัน หากนางบอกว่านางตักมาเต็มแล้วเขาก็ไม่เคยถามว่าเต็มจริงหรือไม่ ทำเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจ
"อ่อ อีกอย่างข้าได้ยินว่าชาวบ้านบอกว่าวันนี้หลังยามเซิน*ห้ามออกจากบ้าน ถือเป็นฤกษ์อัปมงคล เป็นความเชื่อใหม่ข้าเองก็เพิ่งเคยได้ยิน เลยคิดว่าวันนี้คงไม่มีชาวบ้านมาแล้วแหละ ข้าเลยปิดประตู พวกท่านเองก็ไม่ต้องออกไปนะ หากมีธุระอะไรพรุ่งนี้ค่อยออกไปทำ" เพราะพวกนางเรียนเรื่องฤกษ์ยามมงคลมาหลายปี แน่นอนหากบอกไปเพียงว่าเป็นฤกษ์ไม่ดีไม่ให้ออกไป พวกศิษย์พี่คงไม่เชื่อ นางเลยบอกว่าเป็นความเชื่อใหม่เสียเลย (*ยามเซิน เวลา 15.00-16.59)
"งั้นเจ้าก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพักผ่อนเถิด เดียวงานที่เหลือพวกข้าทำต่อเอง"
"ขอบคุณศิษย์พี่ทุกท่านที่เป็นห่วง" นางยกมือผสานคารวะทุกคนอย่างจริงใจ ก่อนไปก็หันไปดูกลอนที่ประตูอารามอีกรอบ ตรวจดูให้แน่ใจว่าปิดแน่นแล้วรึยัง จากนั้นก็หอบคานไม้และถังไปเก็บไม่ให้ใครออกไปตักน้ำได้อีก แถมยังจงใจเอาไปซ่อนไว้ไกลๆ อีกด้วย
สี่คนได้แต่มองตามท่าทางยุกยิกๆ ไม่เป็นตัวเองของนางอย่างแปลกใจ แต่พวกเขาปกติก็อยู่แค่ในอารามอยู่แล้วไม่ค่อยได้จะออกไปข้างนอก ยิ่งช่วงเวลานี้ด้วยก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ออกไปทำ เลยปล่อยผ่านเรื่องฤกษ์ที่นางบอกไปไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
จูมี่เอินหลังเอาของไปซ่อนแล้วก็วิ่งกลับห้อง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งอยู่บนเตียงหายใจหนักหน่วงหลายรอบ
นางหวาดกลัวกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามบุรุษรูปงามผู้นั้นมายิ่งนัก ใบหน้าพวกเขาโหดเหี้ยม ฆ่าคนไม่กระพริบตา เลือดสีแดงที่เห็นสีสดๆ ของมันอย่างชัดเจนยังจำได้แม่นยำ นางยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง หวังให้คนกลุ่มนั้นไม่ผ่านมาที่อาราม และหวังให้บุรุษผู้นั้นรอดพ้นจากอันตราย
พอนึกถึงเขานางก็แปลกใจ เป็นครั้งแรกที่มีคนเชื่อนาง และเป็นครั้งแรกที่นางสามารถช่วยเขาได้ เออ...อาจจะช่วยได้ก็ได้ เพราะหลังจากเขาไปแล้วนางก็ไม่เห็นนิมิตรที่เขาได้รับอันตรายอีก แสดงว่าเขาคงสามารถรอดไปได้จริงๆ
เขาเป็นใครกัน เหตุใดเหตุการณ์ที่นางเห็นเกี่ยวกับเขาช่างชัดเจนนัก ขนาดเสียงของดาบที่ปาดไปกับผิวของเขา นางก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจนในห้วงนิมิตรของตน คล้ายว่านางเอาหูไปแนบกับดาบอย่างไรอย่างนั้น เหมือนตัวนางเองที่เป็นดาบเล่มนั้นด้วยซ้ำ
จูมี่เอินถอนหายใจทิ้งตัวลงนอน ด้วยความตกใจกับภาพที่ได้เห็นทำให้นางเผลอหลับไปอย่างง่ายดายตั้งแต่พลบค่ำ
