7 นิมิตรที่ชัดเจน
จูมี่เอินวันนี้ออกมาตักน้ำในป่าแถวลำธาร เมื่อก่อนนางยังกลัวอยู่บ้างที่จะเข้ามาในป่าเพราะความฝังใจในวันเด็ก แต่ศิษย์พี่ของนางเวลามาตักน้ำที่ลำธารแห่งนี้มักจะพานางมาด้วย สลับพากันมาตักน้ำในทุกวันเพื่อช่วยให้นางสามารถก้าวต่อไปได้ ทำให้นางเปิดใจในความกลัวของตนเองอีกครั้ง
และเพราะนางทำให้พวกเขาเดือดร้อนมาครั้งหนึ่งจนแทบเกือบจะรักษาอารามไว้ไม่ได้ เรื่องตักน้ำในภายหลังนางจึงเป็นคนอาสามาเองตลอด เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาศึกษาเรียนรู้อย่างเต็มที่ เรื่องดูแลอารามนางจะช่วยเอง
แม้นางจะพูดเช่นนั้นแต่พวกศิษย์พี่ก็ไม่มีใครเอาเปรียบนางเลย มักจะช่วยกันทำทุกอย่างอยู่ตลอด นางอยู่ที่อารามแห่งนี้นั้นสบายใจเป็นอย่างมาก ขอแค่มีกินในแต่ละวันนางก็พอใจมากแล้ว นางไม่มีความฝัน ไม่วาดหวังอนาคต คล้ายคนไร้จุดหมายที่มีความสุขมากคนหนึ่ง
ฮึบ
ที่ลำธารนางออกแรงแบกคานซึ่งมีน้ำสองถังห้อยอยู่ขึ้นบ่าของตน ก้าวเดินกลับเข้าไปในป่าที่ตนออกมา ถัดจากป่าเล็กๆ เดินไม่พอหนึ่งก้านธูปก็จะไปถึงที่ใต้เนินของอาราม
พรึบๆ
คล้ายเสียงสลัดผ้าดังขึ้นในหู ร่างเล็กชะงักค้างอยู่กลางทาง ดวงตามีประกายสีทองวาบผ่าน
นางเห็นนิมิตร!
ในภาพนั้นชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เสียงของน้ำไหลผ่านโขดหิน เสียงของลม แสงของพระอาทิตย์ที่สาดส่องกิ่งไม้ลงมา สีของใบไม้ที่เด่นชัด คล้ายเป็นภาพที่มองเห็นด้วยดวงตาปกติ ไม่ใช่อยู่ในภาพนิมิตรของนาง
จูมี่เอินเห็นบุรุษผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากป่าอีกฝั่งของลำธาร หน้าตาเขาแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป หล่อเหลามีสง่า ใบหน้าที่มองมาสบตามาตรงๆ นั้น ทำเอานางใจเต้นไม่หยุด
แล้วภาพตัดไปอีกฉากหนึ่งถึงความตายของคนผู้นั้น
พรึบ
จูมี่เอินกระพริบตาอีกหลายครั้ง ถูกดึงกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ดวงตาของนางกลายเป็นสีดำดังเดิม เมื่อครู่นางค้างไปเพียงเสี้ยววิแต่ภาพที่เห็นกลับยาวนานเกือบหนึ่งก้านธูป
จูมี่เอินรับรู้ถึงน้ำหนักบนบ่า นางเลยได้สติวางคานที่หาบน้ำอยู่ลงไปบนพื้น หันกลับไปมองลำธารด้านหลัง ยามนี้นางอยู่ในป่า เดินไปอีกเจ็ดก้าวก็คือลำธาร นางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เห็นมันคือลำธารที่นางเพิ่งตักน้ำมา ภาพน่ากลัวหลังจากฉากแรกยังคงชัดเจนและทำให้นางหวาดกลัวไม่น้อย
เป็นครั้งแรกที่นางเห็นว่าตนเองมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นั้น และเป็นครั้งแรกที่ภาพมันชัดเจนขนาดนี้
นางเคยบอกตนเองว่าจะไม่บอกคนอื่นเรื่องชะตาของพวกเขา แต่คราวนี้กลับคิดต่างจากเดิมเพราะหลังจากที่อ่านเรื่องพรวิเศษของกู่เฟยเซียนมานางก็คล้ายจะมีความกล้าขึ้นหลายส่วน จูมี่เอินไม่ต้องชั่งใจแม้แต่น้อย นางตัดสินใจเดินกลับไปที่ลำธารอีกครั้ง
ไม่นานบุรุษผู้นั้นก็ออกมาจากป่าอีกฝั่ง หยุดยืนจ้องมองนางชั่วครู่ก่อนจะวิ่งตัดผ่านแม่น้ำที่ลึกเพียงแค่ครึ่งขามาหานาง
เขามองนางด้วยสายตาแปลกๆ ในใจคิดว่าเหตุใดเด็กสาวถึงมาอยู่แถวป่าได้ แถมนางยังมองเขานิ่งราวกลับไม่ตกใจที่มีคนโผล่ออกมาจากในป่าแม้แต่น้อย
จูมี่เอินไม่รู้ว่านางพูดคุยอะไรกับเขาในนิมิตรนั้น รู้เพียงแค่ว่าตนและเขาได้เจอกัน เพราะต่อมามันก็ตัดไปอีกฉากแล้ว
พรึบๆ
แต่แล้วภาพนิมิตรก็ปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง เพียงชั่วครู่ที่ได้สติกลับมานางก็วิ่งเข้าไปหาเขาตามที่ตนเห็นในนิมิตร คว้าแขนเขาไว้แล้วพูดบางอย่างด้วยท่าทางตกใจร้อนรน
"อย่าไปตามลำธาร ให้ขึ้นเนินเขาไป จะเจอหน้าผาจากนั้นให้เลี้ยวขวา วิ่งต่อไปจนเจอต้นไม้ที่หักโค่นลงมาให้เลี้ยวซ้าย ท่านจะออกไปได้ จะเจอคนของท่านที่นั่น"
จูมี่เอินยังคงตกใจกลัวกับสิ่งที่เห็นในนิมิตร ภาพในนิมิตรฉากที่สองของรอบแรกนั้นนางเห็นเขาโดนตามล่าและโดนฆ่าในที่สุด เลือดสีแดงสดสาดนองเต็มลำธาร ไหลย้อมลำธารสีใสให้กลายเป็นสีเลือด หากเขาไปทางลำธารเขาจะตาย!
ทว่าในนิมิตรเมื่อครู่นางกลับเห็นตนเองพูดกับเขาประโยคนี้ นางเลยคิดว่ามันอาจเป็นคำพูดที่ช่วยให้เขารอดจากอันตรายได้ นางรีบพูดเพราะกลัวจะลืม พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นเขามองนางด้วยสายตาแปลกใจและตกใจรวมกัน
ยามนั้นถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป
บุรุษผู้นั้นมองนาง 'เด็กตัวกระจ้อยแค่นี้ เหตุใดถึงพูดอะไรแปลกๆ'
"เจ้าเปี๊ยกเจ้า..."
ทว่ายังไม่ได้พูดจบประโยคเด็กหญิงตัวเล็กก็เดินถอยห่างกระพริบตาถี่ๆ หลายครั้ง ก่อนจะตะโกน
"ไป!!" จูมี่เอินยกมือชี้ขึ้นไปเฉียงกับทางที่นางออกมา ไปทางนั้นจะขึ้นไปถึงเขาด้านหลังของป่าจึงจะทะลุออกอีกหมู่บ้านหนึ่งได้ ไปทางนั้นเขาอาจรอด เวลากระชั้นชิดแล้วหากไม่ไปตอนนี้เกรงว่าคงไม่ทัน
บุรุษผู้นั้นตกใจ รีบวิ่งไปทางป่าตามที่นางบอก ก่อนไปยังเผลอหันกลับมามองเด็กสาวที่แปลกประหลาดอีกหนึ่งที ตอนนั้นก็เห็นนางออกวิ่งเข้าไปในป่าเช่นกัน
จูมี่เอินรู้ว่าในไม่ช้าคนที่ตามบุรุษเมื่อครู่มาจะโผล่ออกมาจากป่า นางเองก็ต้องหนี วิ่งเขาไปทางเดิม เทน้ำในถังออกจนหมดแล้วแบกคานใส่บ่าวิ่งกลับไปที่อารามด้วยความไว
แปลกมาก ไยรอบนี้ถึงเห็นหนทางรอดของผู้อื่นได้
