42 มองผ่านสายตาของตนเอง
วันที่สี่ของการเคลื่อนขบวน เวลาปัจจุบัน
จูมี่เอินมาถึงก็สงสารท่านหมอจับใจ มีเพียงหมอท่านนี้เพียงคนเดียวที่ช่วยดูแลคนทั้งหมู่บ้านที่มีมากกว่าพันคน หมอคนอื่นเมื่อรู้ถึงเรื่องของโรคระบาดก็ต่างพากันหนีออกไปทันที เพราะรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เกินกว่ากำลังของหมอไม่กี่คนจะทำได้
ยามมาถึงจูมี่เอินซึ้งในน้ำใจของหมอท่านนี้มาก นางถึงได้มีน้ำเสียงที่สั่นเครือยามเอ่ยทักเขาออกไป นางไม่ลืมที่จะแหงนหน้ามองป้ายชื่อหมู่บ้านที่เก่าทรุดโทรมแต่พอจะอ่านออก เพื่อให้เป็นไปแบบในนิมิตรของตนเมื่อคืนนั้นที่ฮ่องเต้ทรงตัดสินใจให้นางร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันตอนนี้ที่นางมองป้าย ส่งผลไปยังอดีตที่ผ่านมาให้นางมองเห็นป้ายชื่อของหมู่บ้านตามที่นางได้คาดการณ์ไว้
ใช่ นางรู้ว่าเป็นนางที่มองป้ายหมู่บ้านแห่งนี้ผ่านดวงตาของนางเอง เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นตนอยู่ในนิมิตร ทุกคราที่คิดถึงความเชื่อใจที่เขามีให้แล้วก็อบอุ่นหัวใจ นอกจากบิดามารดา อาจารย์และศิษย์พี่ ก็มีเขาเพิ่มขึ้นมาอีกคนที่เชื่อใจนาง และเขาก็เป็นคนที่ส่งผลกับนิมิตรของนางที่สุด ทำให้นางมองเห็นแสงสว่างแห่งความหวังขึ้นมา หลังจากที่เสียอาจารย์ไปแล้วนางก็รู้สึกเคว้งไม่รู้จุดหมายในชีวิตของตน ทั้งที่ควรปล่อยวางและคิดว่าตนทำได้แล้ว เมื่อเกิดการสูญเสียขึ้นอีกครั้ง นางกลับพบว่าตนคิดผิดไป
คราวนี้ได้รู้แล้วตนต้องการอะไรต่อจากนี้ นางอยากให้ตนเองได้ช่วยเหลือผู้คนจากเหตุการณ์ในนิมิตรที่ตนเห็น ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการผิดต่อสวรรค์หรือไม่ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชะตาของผู้อื่น แต่เมื่อถูกมอบดวงตาวิเศษนี้มาก็ต้องมีเหตุผลที่ทำให้นางได้ใช้มัน คงไม่ใช่มอบมันมาให้นางเพื่อให้นางลำบากเหมือนชีวิตที่ผ่านมาหรอกกระมัง
"ท่านเป็นคนจากวังหลวง!?" ท่านหมอย้ำอีกรอบอย่างไม่อยากเชื่อ จริงหรือ...จดหมายนั้นส่งไปถึงวังหลวงแล้วจริงๆ หรือ เพียงแค่คิดอยากให้ทางการช่วยแต่นี้สามารถไปถึงในวังหลวงได้ คราแรกยังนึกว่าจดหมายถูกเพิกเฉยไปแล้วเสียอีก จดหมายแรกนั้นเขาส่งไปที่ศาลกลางของเมืองหลวง คิดว่าถ้าไม่มีใครมาช่วยอาจส่งไปที่อื่นต่อ ยามนี้เล่า หันกลับไปทอดมองขบวนรถส่งเสบียงที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในใจนั้นตื่นเต้นเพียงไร
"เจ้าค่ะท่านหมอเจียง เป็นฮ่องเต้ส่งมา" จูมี่เอินนั้นรู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร นางไม่ได้เห็นจดหมายฉบับจริง ยามนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนเก็บจดหมายไปแล้วไม่ยอมส่งความช่วยเหลือมา แต่นางได้เห็นเขาลงชื่อบนจดหมายผ่านดวงตาวิเศษของตนแทน
"ฮ่อง...ฮ่องเต้!?" เจียงหลี่เฉียงไม่ทันได้คิดว่าตนยังไม่ได้บอกชื่อของตนออกไปทำไมนางถึงเรียกขานถูก เขามัวแต่ตกใจจนเกินจะสังเกตคำพูดของนาง
ฮึบ
จูมี่เอินกระโดดลงจากหลังม้าโดยมีทหารคนหนึ่งที่แต่งตัวเป็นชาวบ้านเข้ามาช่วย พวกเขาต่างปลอมตัวมาไม่ได้สวมชุดทหารมาสักคน ทำคล้ายว่าเป็นเพียงผู้ทำการค้าทั่วไป ตอนขนเสบียงออกจากวังยังออกมาประตูหลังที่ไร้ผู้คนอีกด้วย
"ท่านหมอเจียง สมุนไพรนี่ข้าจะจัดส่งไปที่โรงหมอของท่าน และข้าก็ได้นำหมอจากวังหลวงมาช่วยท่านด้วย"
"ฮ่องเต้ทรงส่งหมอมาด้วย?" มีอะไรให้เขาแปลกใจกว่านี้อีกหรือไม่ คนแก่เช่นเขาต่อให้เป็นหมอก็สามารถตกใจตายได้เช่นกันนะ!
"เจ้าค่ะ อีกหนึ่งวันก็น่าจะถึง"
จูมี่เอินกลัวไม่ทันการจึงเร่งเดินทางมาล่วงหน้าก่อน ส่วนหมอหลวงอีกสามท่านขึ้นรถม้าตามมาทีหลัง ห่างกันไม่ไกลมาก
จูมี่เอินนึกย้อนถึงยามนั้นที่ตนลองขึ้นไปบนม้า เป็นครั้งแรกที่นางได้ขี่ม้า
'นั่งรถม้าไปเถอะ' ตอนนั้นยังได้ยินเสียงของฮ่องเต้รับสั่งเมื่อเห็นนางขึ้นไปนั่งบนม้า สีหน้าที่เรียบนิ่งไม่ได้มองนางแต่กลับมองทหารที่ช่วยนางขึ้นม้าแทน
'ขอทรงอภัยที่ขัดรับสั่งเพคะ หมอมฉันไม่อยากช้าแม้สักวันเดียว'
หากนางไปกับขบวนรถม้าของท่านหมอคงมาถึงช้ากว่าเดิม นางเลือกที่จะนำขบวนมาแทนแบบที่ตนเห็นในนิมิตร นางไม่ได้รู้สึกกลัวว่าตนจะได้รับอันตรายหรือไม่ ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นอนาคตเกี่ยวกับตนเองเลย มีเพียงยามได้อยู่ใกล้ฮ่องเต้เท่านั้นที่เริ่มเห็นตัวเองในนิมิตรขึ้นมาบ้าง แถมรอบกายยังมีองค์รักษ์อีกกลุ่มที่พระองค์ทรงส่งมาคอยดูแลอยู่ตลอด ต่อให้ม้าที่นางขี่อยู่ตกใจวิ่งเตลิดไป ยามนั้นก็มีคนช่วยนางได้แน่
พอได้ลองขี่ม้ามาสามวันแล้วก็เริ่มชิน ถึงจะมีเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวบ้างแต่เพราะนางหาบน้ำขึ้นเนินเขาบ่อยทำให้ไม่ได้เหมือนคนอื่นที่ฝึกแรกๆ ที่จะระบมไปทั้งตัว
จูมี่เอินหันกลับมามองท่านหมอเจียง "ส่วนอาหารและน้ำข้าจะให้คนไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านเอง หากท่านต้องการคนช่วยต้มยาข้านำนางกำนัลที่พอจะรู้เรื่องการต้มยามาด้วยอีกกลุ่ม ท่านหมอเจียงต้องการสิ่งใดเพิ่มหรือไม่เจ้าคะ"
"..." เจียงหลี่เฉียงส่ายหน้า แค่นี้ก็พอมากแล้ว ดีมากแล้วจริงๆ เขารีบย่อตัวลงจะทำความเคารพฮ่องเต้ไปทางที่ตั้งของเมืองหลวงแต่ถูกจูมี่เอินยกมือขึ้นมาห้ามไว้ก่อน
"ท่านหมอเจียงช้าก่อน ท่านสุขภาพเข่าไม่ดี ความทราบซึ้งในพระกรุณาธิคุณครั้งนี้ที่ท่านมีต่อฝ่าบาทข้าจะบอกให้พระองค์ได้รับรู้เองเจ้าค่ะ" จูมี่เอินยกยิ้มบางไม่ทันสังเกตเห็นหน้าที่ประหลาดใจของท่านหมอที่หันมองมายังนาง เพราะนางนั้นหันหลังเดินไปหาผู้ดูแลรถขนเสบียงแต่ละคันที่มารวมกันอยู่ก่อนแล้วเพื่อรอนางสั่งงาน
