41 จำใจให้จากไป
ช่วงหัวค่ำในวันนั้นเหรินโยว่หลุนหลังจากสั่งการและดูความเรียบร้อยในการปลอมรถส่งเสบียงเสร็จก็นึกถึงใบหน้าของจูมี่เอินตอนที่เขาปฎิเสธออกไป ใบหน้านั้นดูเศร้าหมองจนคนมองรู้สึกผิดที่ไม่อาจทำตามที่นางขอได้ ก็เขาไม่อยากให้นางเดินทางไปนอกวัง ไม่อยากให้นางไปไกลจากสายตา กว่าจะหานางพบนางกลับคิดจะหนีจากเขาให้ได้ จะให้วางใจได้ยังไง
และก็ไม่รู้ว่าการไปรอบนี้ของนางเป็นแผนที่คิดจะออกจากวังเพื่อหนีไปจากเขาอีกรึไม่ แต่ท่าทางเศร้าสร้อยของนางนั้นกลับทำให้เขาไม่สบายใจยิ่งนัก
เรื่องโรคระบาดครั้งนี้เขาไม่สามารถเดินทางไปที่หมู่บ้านที่ติดโรคได้ด้วยตนเอง เพราะพิธีกรรมขอฝนที่ผ่านมาเขาใช้เวลาอยู่นอกวันเกือบสิบสี่วัน งานที่ต้องรีบจัดการยังคงค้างคามีกองเป็นภูเขา ไม่อาจทิ้งทั้งแคว้นไปยังหมู่บ้านเดียวได้ ทำได้แต่เพียงส่งคนออกไปและรอผลอยู่ในวังหลวงเท่านั้น
นั่งคิดทบทวนอยู่สักพักในห้องทรงอักษร
'หม่อมฉันไม่ได้จะไปจากวังหลวงเพคะ'
นางบอกว่านางไม่คิดจะจากวังไปเขาจะลองเชื่อนางได้รึไม่ เหรินโยว่หลุนตัดสินใจเด็ดขาด ยอมส่งนางออกไปพร้อมขบวนรอบสอง!
พอตัดสินใจได้แล้วเขาก็คิดจะไปบอกนางด้วยตนเอง ยามนั้นก็แอบย่องหลบพวกนางกำนัลและขันทีที่เฝ้าอยู่หน้าห้องออกไปทางหน้าต่างแทน เมื่อเดินมาพ้นห้องทรงอักษรแล้ว ร่างสูงก็รีบเดินไปทางอารามหลวงทันที
ระหว่างทางเดินทอดยาวที่เชื่อมต่อจากเขตวังด้านในไปยังอารามหลวงด้านหลัง เหรินโยว่หลุนกลับได้พบร่างบางในชุดสีขาวกำลังออกวิ่งมาทางเขา นางเห็นเขาแล้วก็หยุดเท้าลง แววตาคู่นั้นที่จ้องมองมายังเขามีน้ำตาเอ่อคลออยู่ทั้งสองข้าง ดวงตาคู่สวยถูกอาบด้วยแสงจันทร์จนเป็นประกายระยิบระยับ คล้ายภาพฝันที่อาจมีอยู่จริง งดงามจนไม่อาจลืมเลือน
และเมื่อนางมาถึงเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่ตนตัดสินใจไปทำให้นางสามารถเห็นนิมิตรขึ้นมาได้ ประหนึ่งการหยดน้ำลงบนจอกชา กระเพื่อมสะท้อนกระจายเป็นวงกว้าง เป็นแรงส่งจากจุดหนึ่งไปยังปลายทาง
สองวันต่อมาหลังขบวนเสบียงออกจากวังหลวง
ขบวนเสบียงขาแรกก็เปลี่ยนเส้นทางแวะพักที่โกงดังใหญ่ห่างไกลจากเมืองหลวงไม่มาก เป็นหมู่บ้านที่ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่ ทหารองค์รักษ์พิเศษที่ถูกส่งมาอย่างลับๆ ตามกลุ่มขบวนมาตลอดทาง ยามนี้ก็ได้จังหวะเข้าจับกุมได้ทันที
ในขบวนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ผู้นำขบวนสลับเปลี่ยนเข้ามาแทนที่คนของวังหลวง มีทหารรับจ้างอีกสิบกว่าคนที่ร่วมขบวนมาเพื่อคอยช่วยเหลือในการป้องกันโจรป่า ทหารของวังหลวงที่ถูกส่งมารอบแรกนั้นก็ถูกเปลี่ยนตัวไปตั้งแต่วันแรกที่ออกเมืองมาแล้ว คนทั้งหมดเลยกลายเป็นคนของผู้ดูแลคนนั้น
'ทำอะไร ปล่อยข้า พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร! อยากปล้นก็ไม่ดูตามม้าตาเรือ' เสนาบดีกรรมการคลังผู้ดูแลขบวนไม่ทันได้สังเกตว่าคนที่มาปล้นตนและจับตนไว้ในครั้งนี้นั้นฝีมือไม่ธรรมดา ทหารรับจ้างที่เขาจ้างมาไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน แต่เพราะกำลังโมโหจัดไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง คิดเพียงว่าคนที่มาจับตนเป็นเพียงโจรป่ากลุ่มหนึ่งเท่านั้น เพราะพวกเขาแต่งตัวด้วยชุดที่ขาดๆ สภาพแย่ยิ่งกว่าขอทานด้วยซ้ำ
'เหตุใดท่านเสนาบดีถึงคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านคือใครกัน' ยามนั้นพอหัวหน้าองค์รักษ์พูดจบก็ก้มมองชุดตัวเองเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าตนใส่เสื้อผ้าซ่อมซ่อแค่ไหน
กลุ่มพวกเขาคือหน่วยองค์รักษ์พิเศษที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อวังหลวง แต่ขึ้นตรงต่อฝ่าบาทเพียงผู้เดียว ส่วนมากถ้าไม่ได้ถูกเรียกตัวเข้าวังก็มักจะอยู่ด้านนอก คอยฟังคำสั่งจากฝ่าบาท
คำสั่งครั้งนี้กลับได้รับมอบหมายชุดมาด้วย คราแรกที่ได้เห็นชุดก็พากันสูดหายใจเข้าลึกๆ กันถ้วนหน้า ต่างพากันคิดว่าจะให้ใส่ชุดนี้จริงหรือ นี่เลยเป็นเหตุผลที่พวกเขาแต่งตัวแบบนี้ คำสั่งหลังสุดยังสั่งให้จับเป็นเสนาบดีฝ่ายการคลังกลับไป แต่ให้ส่งตัวไปที่อื่นแทน จึงพอเข้าใจได้ว่าทำไมให้แต่งตัวเช่นนี้
