4 ยึดอาราม
"ข้ายังนึกว่าเจ้าจะหลับเลยวันเสียอีก หากเจ้าตื่นแล้วข้าจะได้ไปเสียที"
หญิงชราเองยังนึกว่าเด็กน้อยคงต้องนอนพักอีกหลายวันกว่าจะฟื้น แต่เด็กคนนี้กลับตื่นขึ้นมาไวมาก ยามนี้หญิงชราก็สามารถกลับบ้านได้อย่างสบายใจแล้ว
จูมี่เอินเมื่อเห็นว่าคนที่ให้อาหารกำลังจะจากไปก็รีบคลานลงเตียงไปด้วยความไว เดินตามหญิงชราไป ยามนี้ถึงเพิ่งจะสังเกตชุดใหม่ที่ตนใส่ ผ้าพันแผลที่มีตามตัว เป็นหญิงชราหรือที่ทำแผลให้นาง?
หญิงชราหันมองจูมี่เอินที่ตามมาจนถึงหน้าห้อง
"เจ้าหลงทางหรือ?"
หญิงชราถามออกไปแต่กลับไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมา
"..." เด็กน้อยมองนางตาใสแป๋ว ปากเคี้ยวแผ่นแป้งไม่พูดไม่จา ดวงตาของเด็กหญิงกระจ่างใสคล้ายไม่ถูกโลกอันโหดร้ายกัดเซาะได้ ทั้งที่น่าจะผ่านความโหดร้ายมากมายกลับไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นรบกวนจิตใจแม้แต่น้อย
"จำทางกลับบ้านได้รึไม่?"
เมื่อลองถามประโยคอื่นดูก็เหมือนเดิม ไร้ซึ่งคำตอบใดๆกลับมา
"..."
"ถ้างั้นเจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด ข้าต้องกลับแล้ว ไว้จะมาหาเจ้าใหม่" หญิงชราลูบไปที่หัวเด็กน้อยเบาๆ นางมาไหว้ขอพรที่อาราม ยามนี้ใกล้ค่ำแล้ว นางเองก็ต้องกลับจวนเหมือนกัน
เหตุเพราะที่อารามไม่มีสตรี เด็กน้อยตัวมอมมานางเลยอาสาเปลี่ยนชุด เช็ดตัวและทำแผลให้ เมื่อเด็กน้อยฟื้นแล้วนางเลยจะจากไป เมื่อหันหลังเดินออกไปตามทางเดินกลับพบว่าเด็กน้อยยังคงตามมาตลอดทาง
จูมี่เอินเดินตามหญิงชราออกมาจากห้องได้ครึ่งทางแล้วก็พบนักบวชท่านหนึ่ง ห่มกายด้วยชุดสีเทาอ่อน ใบหน้ามีความเมตตา น่าเข้าหาไม่เหมือนชาวบ้านพวกนั้นที่พากันมาขับไล่นาง จูมี่เอินหันมองหญิงชราที่ช่วยเหลือนาง หันมองนักบวชที่ดูน่าเข้าหา ในใจจูมี่เอินรู้แล้วว่าตนน่าจะมีที่พึ่งแล้ว
"ท่านนักบวช" หญิงชราเอ่ยทักพร้อมยกมือขึ้นทำความเคารพ
นักบวชที่อายุเกินเลขหกไปแล้วก็ค้อมหัวลงเพียงนิด ก่อนจะหันไปถามเด็กน้อยข้างหญิงชราว่า
"เจ้าฟื้นแล้วหรือ"
"..." เด็กน้อยก็ไม่ตอบอีกเช่นเคย
"หรือนางจะพูดไม่ได้?" หญิงชราคาดการณ์ไปแล้วก็อดมีสีหน้าสงสารไม่ได้ หลงทางก็แล้ว เจ็บตัวก็แล้ว อดข้าวก็แล้ว ยามนี้ยังพูดไม่ได้อีก ช่างเป็นเด็กที่มีชะตากรรมที่ลำบากเสียจริง
จูมี่เอินเพิ่งเคยเห็นสีหน้ากังวลของผู้อื่นนอกจากบิดาและมารดานางก็แปลกใจ แต่ก็รู้สึกอุ่นใจเมื่อได้เห็นหญิงชราท่านนี้อย่างบอกไม่ถูก ที่หมู่บ้านนางไหนเลยจะมีคนมองนางด้วยสายตาเช่นนี้อีก พวกเขาต่างกลัวนาง รังเกียจนาง นางเองก็หาได้ชมชอบพวกเขาไม่ มีแต่ความกลัวพวกเขาจับใจ
"เจ้าพูดไม่ได้หรือ?" นักบวชเฒ่าเป็นผู้ดูแลสูงสุดของอารามแห่งนี้เมื่อเห็นเด็กน้อยไม่พูดก็ลองถามอีกรอบ
จูมี่เอินไม่พูดทำเพียงแค่ส่ายหน้าเล็กน้อย นางพูดได้ นางอยากบอกเช่นนั้น ต่อจากที่พยักหน้าออกไปแล้วนางก็พยายามกลืนแผ่นแป้งคำสุดท้ายลงคอไปอย่างยากลำบาก
"นางพูดได้ก็ดีไป คงยังตกใจอยู่" หญิงชรายิ้มโล่งใจและกล่าวต่อว่า "ท่านนักบวช ใกล้ค่ำแล้ว ไว้ข้าจะมาใหม่" เมื่อพูดจบก็ยกมือลานักบวชอีกรอบ
"ขอบคุณแม่เฒ่าเมิ่ง" นักบวชเองก็ยกมือลาหญิงชราเช่นกัน
เมื่อเห็นคนที่ให้อาหารจากไปแล้ว ในใจของจูมี่เอินกลับรู้สึกเศร้าขึ้นมา มองตามนางตาละห้อย จดจำชื่อของหญิงชราไว้ขึ้นใจ 'แม่เฒ่าเมิ่ง'
หลายวันต่อมานางก็ใช่ชีวิตอยู่ที่นั่น โดนเค้นถามหาที่อยู่ก็ไม่พูด ถามถึงพ่อแม่ก็ไม่บอก ท่านนักบวชเองก็ไม่อยากบีบบังคับนางจึงปล่อยนางให้อาศัยที่อารามไปก่อน
ตอนเด็กจูมี่เอินเคยได้ยินอยู่บ้างว่าที่แคว้นของนางมีลัทธิหนึ่งที่ขยายไปทั่วแคว้น พวกเขาเรียกตัวเองว่านักบวช ศึกษาทางธรรมละทิ้งทางโลก ส่วนมากจะทำพิธีปัดเป่าต่างๆ คนเหล่านี้แม้จะถูกเนื้อต้องตัวกันได้แต่จะไม่สามารถแต่งงานได้ และไม่ต้องโกนหัวเหมือนนิกายอื่น จูมี่เอินเลยคิดว่าที่แห่งนี้น่าจะเหมาะกับนางยิ่งนัก
ตัวจูมี่เอินในตอนนี้ไม่มีที่ให้กลับไป และนางยังเด็กนัก นางไม่รู้จะพูดเรื่องของตนออกไปดีหรือไม่ นักบวชท่านนั้นก็ดูเป็นคนดี แต่นางยังกลัว กลัวว่าหากบอกเรื่องของตนออกไปแล้วจะถูกไล่ไปอีก
นางไม่รู้ว่าที่อารามแห่งนี้อยู่ไกลจากหมู่บ้านของตนเท่าใด บางทีข่าวเรื่องที่ตัวของนางคือตัวหายนะ ตัวอัปมงคลอาจจะมาถึงที่นี่ก็เป็นได้ หากนักบวชท่านนั้นรู้เข้า แล้วไล่นางไปนางจะทำเช่นไร จูมี่เอินเลยเลือกที่จะเงียบตลอดมา
หลายวันเฝ้าสังเกต มักจะมีคนมาที่อารามแห่งนี้ไม่ขาดสาย นางได้กินของอร่อยก็เพราะคนเหล่านั้นนำติดมือมาด้วย
แหล่งอาหารที่ใหม่นี้นางตัดสินใจจะยึดหลักปักฐานอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน!
ราวเดือนกว่านางตัดสินใจพูดกับนักบวชว่า
"ท่านอาจารย์ ข้าชื่อจูมี่เอินเจ้าค่ะ"
ท่านอาจารย์ที่นางเรียกก็แนะนำตัวเองว่าตนนั้นชื่อ หลี่ลู่ซือ
จูมี่เอินไม่ขอความเห็นเขาเรื่องที่ว่าเขาจะเป็นอาจารย์ให้นางรึไม่ นางมัดมือชกตัดสินใจแทนเขาไปเสียแล้ว แถมยังเรียกเขาว่าอาจารย์ลู่อีกด้วย
วันๆ นั้นนางแทบไม่พูดอะไร นอกจาก 'อาจารย์ลู่' เจอหน้าเขาทีก็จะเรียกอาจารย์ลู่ที บางทีไม่เจอหน้าก็เรียกหาทั้งวัน วิ่งวุ่นตามเขาไปทุกที่
ที่อารามแห่งนั้นมีนักบวชอยู่ประมาณสี่ห้าคน เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่ค่อยเจริญ อีกทั้งยังอยู่บนเนิน และที่อารามก็เน้นปฎิบัติตามคำสอนจึงไม่ได้ขึ้นชื่อเท่าไหร่ ทำให้อารามที่นี่ไม่ค่อยมีคนมามากเท่าที่อารามแห่งอื่น แต่ก็ยังมีคนในหมู่บ้านเดินทางมากันทุกวันไม่ขาดสาย
จูมี่เอินอยู่ไปอยู่มาก็เกือบสามปีแล้ว นางไม่ได้บวช เพียงทำงานรับใช้ ปัดกวาดเช็ดถูอยู่ที่นั่น แต่เวลาเรียนก็ไปเรียนรวมกับนักบวชท่านอื่น
นางเรียกพวกเขาว่าศิษย์พี่ เพราะพวกเขาช่วยสอนนางอ่านเขียน แต่เรื่องส่วนใหญ่ที่พวกเขาเรียนก็จะเป็นคัมภีร์เต๋า คาถา การทำพิธีต่างๆ ศิษย์พี่ของนางมีทั้งหมดสี่คน ซึ่งนางเรียกพวกเขาตามลำดับการเข้ามาบวชในอารามแห่งนี้
เริ่มจากศิษย์พี่คนแรกมีนามว่าศิษย์พี่อี คนที่สองมีนามว่าศิษย์พี่เอ้อร์ คนที่สามคือศิษย์พี่ซาน คนที่สี่คือศิษย์พี่ซื่อ ส่วนตัวนางถูกศิษย์พี่ทั้งสี่คนเรียกว่าน้องเล็ก หรือเรียกอีกชื่อว่าศิษย์น้องอู่
หากจะพูดนางก็คล้ายนักบวชหญิงขึ้นทุกวัน ความแก่นแก้วแสนสนในวัยเด็กถูกอารามขัดออกไปหลายส่วน แต่นางไม่สามารถบวชได้ พยายามขออาจารย์อยู่หลายครา พูดจนขี้เกียจพูดจนเลิกพูดไปเสียแล้ว
นางนึกถึงความตั้งใจเดิมของตนนั้นก็คือการยึดอารามแห่งนี้เป็นบ้านใหม่ มีของกิน มีที่อยู่ เป็นพอ ไม่ได้บวชก็ไม่ได้บวช ยังไงเสียตอนนี้นางก็ไม่ต้องถูกไล่ไปไหนอีก แค่นั้นก็ดีมากแล้ว
............
