37 เป็นเพราะเขาเชื่อใจนาง
"เพคะ หม่อมฉันเข้า..." จูมี่เอินนิ่งไป เมื่อนางคิดทบทวนเรื่องเวลาอีกครั้ง และอีกเรื่องที่เหมือนจะยังไม่ได้บอกฮ่องเต้ออกไป "ฝ่าบาท!" นางคว้าแขนเขาแน่นสีหน้าตื่นเต้นดีใจ นางจับเหรินโยว่หลุนเขย่าไปมาหลายที
"จูมี่เอิ่นสงบสติลงก่อน" เหรินโยว่หลุนไหนเลยจะเคยโดนเขย่าเช่นนี้ แต่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของนางแล้วเขาก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ แถมนางก็ดูตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกตว่าเขาเรียกชื่อนางโดยตรง เพราะปกติมักจะเรียกนางว่า 'ท่านนักบวชจูมี่เอิน' มาตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่ได้รู้ความลับเรื่องนั้นของนางเข้า
"เออ...ขอ ขอประทานอภัยเพคะ" จูมี่เอินกระพริบตาถี่เพิ่งจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยามนั้นก็ปล่อยมือจากแขนของฮองเต้ แต่มือใหญ่ของเขาก็คว้ามือของนางไว้ก่อนที่นางจะได้เอาออก แต่เขาก็คว้าไว้ได้เพียงข้างเดียว อีกข้างนางก็ลดมือลงมาข้างตัวแล้ว
"มีอะไรให้ดีใจขนาดนั้น" เขารีบถามนางก่อนนางลืม และเมื่อครู่ที่บอกให้นางสงบสติลงไม่ใช่ว่าเขาอยากให้นางเอามืออกจากตนเสียหน่อย ยามนี้เขาเลยได้กุมมือนางไว้ข้างหนึ่งติดกับแขนของเขาไว้
"ในนิมิตรเมื่อเสบียงไปถึงห้าคนนั้นเพิ่งเสียไปก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวันเพคะ จากที่เห็นทหารเร่งการค้นหาไวสุดก็ห้าวันหลังจากนี้ เราได้รับข่าวด้วยนกเร็วต่ออีกสองวัน หลังจากนั้นใช้เดินทางอีกสามวัน ทั้งหมดสิบวัน" จูมี่เอินยกยิ้มบางเบาไว้เสมอ ดวงตาเองก็ทอประกายเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตนพยายามเปลี่ยนแปลงโดยเสนอให้ฝ่าบาทยินยอมตกลงนั้นมันได้ผล หากนางทำแบบเดิมในรอบหน้าอาจช่วยชีวิตคนได้หลายคน
"เจ้ายิ้มอะไร มีอะไรที่ไม่ได้บอกอีกรึ?" ยังเป็นเหรินโยว่หลุนที่สามารถอ่านสีหน้าคนได้ขาด เขากระชับมือเล็กที่กุมไว้เล่นไปด้วยอย่างเผลอตัวเมื่อเห็นเห็นนางยิ้ม และยามนี้เขาเองก็กำลังอมยิ้มแบบเดียวกับนางอยู่โดยไม่รู้ตัว
ดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้เป็นสีดำส่องประกายเพราะแสงจันทร์ทำให้ดวงตาของนางดูงดงามขึ้นมากกว่าเดิม นางกำลังจ้องไปในตาของอีกฝ่าย
"ที่หม่อมฉันลืมบอกไปอีกอย่าง..." นางแกล้งเว้นคำพูดไปชั่วครู่คล้ายอยากจะแกล้งเขา "หม่อมฉันเห็นชื่อของหมู่บ้านแล้วเพคะ"
"เจ้าทำสำเร็จ! หากไม่ต้องเสียเวลาตามหาหมู่บ้านแบบในนิมิตร ก็ไม่ต้องเสียเวลารอข่าว การเดินทางจะไวขึ้นอีกเจ็ดวัน" เหรินโยว่หลุนฉีกยิ้มกว้าง เขาเองยามที่ได้ยินว่ายังมีคนเสียชีวิตจากโรคระบาดครั้งนี้ไปอีกห้าคนก็เสียใจเช่นกัน ตัวเขาเป็นฮ่องเต้ของแคว้นนี้ชีวิตของประชาชนทุกคนย่อมมีค่าเท่ากัน เมื่อเขายอมทำตามจูมี่เอินเสนอกลับไม่ต้องเสียชาวบ้านของตนด้วยโรคระบาดเลยสักคน ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
"ไม่ใช่เพคะ" จูมี่เอินยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า "ทุกอย่างเป็นเพราะพระองค์ทรงเชื่อใจหม่อมฉัน" ก่อนหน้านี้ที่นางพยายามบอกชาวบ้านในหมู่บ้านของตนยามเยาว์วัยไม่มีใครเชื่อนาง ทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ แต่ครั้งนี้มีฮ่องเต้ที่เชื่อใจนาง ทั้งยังยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้สิ่งที่นางพยายามจะเปลี่ยนแปลงชะตาที่ตนเห็นก็ได้สำเร็จอย่างที่หวังอีกครั้ง
นึกถึงตนเองตลอดเวลาที่ผ่านมา นางยื่นมือออกไปดึงผู้คนจากโคลนตมขึ้นมาหวังให้พวกเขารอดชีวิต แต่กลับเป็นนางที่ถูกดึงกลับลงไปในโคลนพวกนั้นแทน จมหายไปลึกขึ้นๆ ไร้แสงสว่าง มองไม่เห็นแม้แต่ทางออก นางเอาแต่โทษตัวเองที่เกิดมาเป็นเช่นนี้ เคยคิดว่าถ้าตนเป็นเหมือนคนทั่วไปชีวิตของนางคงจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่
ตอนนี้เล่า มีคนยอมยื่นมือมาให้นาง ดึงนางออกไปจากโคลนที่ทับถมร่างของนางไว้ ค่อยๆ ใช้ความเชื่อใจของเขาเปลี่ยนสิ่งที่นางคิดว่าเป็นตราบาปมาตลอดในชีวิตออกไป ดวงตาวิเศษที่นางเคยเกลียด เคยปฏิเสธมันครั้งแล้วครั้งเล่า ยามนี้กลับสามารถช่วยผู้คนได้ ชีวิตนี้นางยังต้องการอะไรอีก
ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาเอ่อคลอในนั้น แม้นางจะเหมือนจะร้องไห้แต่รอยยิ้มโล่งใจนั้นก็ทำให้รู้ว่านางร้องไห้เพราะดีใจขนาดไหน
"..." เหรินโยว่หลุนเองพอได้ยินว่านางชมเขาก็อดรู้สึกหัวใจอ่อนยวบลงไม่ได้ มองร่างบางในชุดขาวตรงหน้า เกิดความรู้สึกอยากสวมกอดนางขึ้นมา ความรู้สึกเชื่อใจใครสักคนคือแบบนี้เองสินะ
"พระองค์ทรงทำให้หม่อมฉันรู้ว่าตนเองก็มีสิ่งที่ต้องการอยู่ในชีวิตนี้" หลังจากที่นางลงแรงยึดอารามเป็นบ้านได้และคิดว่า นอกจากอาหารกับที่นอนก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว ยามนี้กลับเพิ่งรู้ตัวว่าตนนั้นต้องการที่สุดคือความเชื่อใจจากใครสักคน แค่สักคนก็ยังดี
"..." เห็นนางมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้เหรินโยว่หลุนก็สูดหายใจเข้าลึก อย่าบอกนะว่าสิ่งที่นางต้องการในชีวิตนี้ที่นางหมายถึงนั้น นาง...ก็อยากกอดเขาเช่นกัน นี่นางก็คิดเช่นเดียวกับเขาใช่หรือไม่ "งะ งั้นเจ้าต้องการอะไร" เขาคิดหาแทบตายว่านางมีอะไรที่อยากได้รึไม่ ยามนั้นจะได้เอามาหลอกล่อนางให้นางไม่ไปจากเขา ตอนนี้กลับคิดไปแล้วว่าสิ่งที่นางต้องการคือตัวเขา ก็อดจะใจเต้นไม่ได้ พอเห็นปากเล็กกำลังขยับจะพูดเขาก็เผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะรอเสียงที่กำลังจะเปล่งออกมา แถมยังเตรียมตั้งท่ารอจะสวมกอดนางอีกด้วย
"ความเชื่อใจไงเพคะ" คนพูดกลับไม่รู้ตัวว่าตนได้ทำลายกำแพงความหวังของใครบางคนทิ้งไปเสียแล้ว
เหรินโยว่หลุนทันทีที่ได้ยินนางตอบออกมาก็กลับผิดหวังในใจลึกๆ ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งแผ่วเบาด้วยกลัวว่าคนตรงหน้าเขาจะได้ยิน ทั้งยังสลักคำว่าซื่อบื้อลงบนหน้าของนางในจินตนาการของตนเองเป็นที่เรียบร้อย ซื่อบื้อ! ยังคงบ่นนางในใจอยู่อีกหลายครั้ง นี่เขากำลังคาดหวังสิ่งใดจากสตรีที่เหมือนนักบวชมากกว่านักบวชตัวจริงผู้นี้กัน
"ต่อไปแต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อย" เขารีบเปลี่ยนเรื่อง ตีหน้านิ่งดุนาง
ยามนี้เองจูมี่เอินก็ก้มมองตัวเอง เงยหน้ามองฮ่องเต้ ก้มมองตัวเอง เงยหน้ามองฮ่องเต้อีกครั้ง ดวงตากลมเบิกโต
"ขอประทานอภัยเพคะ!" นางตะโกนออกมา ทั้งตกใจและประหม่า แม้จะร่ำเรียนมว่าาร่างกายคือของภายนอก แต่ผู้อื่นไม่ได้คิดเช่นนั้น อีกทั้งคนตรงหน้าก็ไม่ใช่คนทั่วไป นางเสียมารยาทเสียแล้ว
หมับ
เหรินโยว่หลุนรีบยกมืออุดปากจูมี่เอินทันที นางเสียงดังเช่นนี้หากคนอื่นได้ยินเข้าแล้วมาเจอนางในสภาพชุดนอนบางเบาแบบนี้จะเป็นยังไง
"ใคร!" เสียงของบุรุษคนหนึ่งดังขึ้นมาจากฝั่งที่พักของนักบวชหลวง
นั้นไง ว่าแล้ว
เหรินโยว่หลุนรีบดึงมือเล็กที่ตนกุมไว้ก่อนหน้านี้ให้เจ้าของมือออกเดินตามเขาไป ความจริงก็ดูคล้ายเขากำลังยื้อนางให้ออกเดินตามมากกว่า ดวงตาคนกวาดมองหาทางหนีทีไร เดินออกไปได้หลายก้าวแล้วก็ได้ยินเสียงเท้าใครบางคนตามมาด้านหลังตรงที่ซึ่งพวกเขายืนอยู่ตอนแรก
ตุบ
เหรินโยว่หลุนเมื่อได้ที่หลบเขาก็ทิ้งตัวลงข้างทางหลังพุ่มไม้ จูมี่เอินที่ถูกเขากุมมือไว้อยู่ก็โดนแรงดึงรั้งจนเสียหลักล้มล้มไปหาเขา
พึบ
นางล้มทับลงบนร่างของคนที่นอนอยู่ก่อนแล้ว แม้ตกใจที่ตนล้มลงไปแต่ก็กลั้นเสียงร้องไว้ได้ทัน
เหรินโยว่หลุนไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดที่โดนจูมี่เอินล้มลงมาทับเช่นนี้ เขาจงใจด้วยซ้ำไป มือใหญ่โอบเข้าที่เอวบางถือโอกาสตักตวงผลประโยชน์ยามที่นางไม่รู้ตัว
