36 ยัยเด็กซื่อบื้อรู้จักวางแผนเสียด้วย?
"อะฮึ่มๆ" เหรินโยว่หลุนกระแอมไอรีบหันมองไปทางอื่น นึกถึงเมื่อครู่ว่าตนจะส่งให้ใครดูแลแล้วเสบียงกลับถูกยักยอกก็ยกยิ้มขึ้นมา คิดหาทางจัดการตัวโกงกินบ้านเมืองไว้ในหัวเรียบร้อย
นอกจากจูมี่เอินจะช่วยเหลือชาวบ้านได้แล้ว นางยังได้ช่วยเขาจับโจรที่ชอบคดโกงบ้านเมืองได้ด้วย ถึงแม้นางจะไม่ได้เห็นว่าเป็นใครแต่ผลสรุปของเรื่องราวทำให้เขารู้ว่าคนที่เขาจะส่งไปช่วยชาวบ้านนั้นไว้ใจไม่ได้ ถึงเขาจะทำเป็นหลับหูหลับตามาตลอดกับเรื่องคดโกงบ้านเมืองของเหล่าขุนนาง หากแต่ครั้งนี้ความตายของราษฎรขึ้นอยู่กับเสบียงและยาในครั้งนี้ มันมากเกินจะทนหลับตาไม่สนใจได้อีก
"ฝ่าบาทเพคะ"
พอได้ยินเสียงหวานเรียกเขา เหรินโยว่หลุนก็หันกลับมามองนาง
"ทำแผนซ้อนแผนดีรึไม่เพคะ?" คราแรกนางคิดจะให้ฮ่องเต้จัดการเรื่องยักยอกด้วยตนเอง แต่พอคิดไปคิดมารวมกับนิมิตรที่ได้เห็น นางว่านางสามารถช่วยเขาได้ แถมยังได้ช่วยชาวบ้านด้วย
เหรินโยว่หลุนเลิกคิ้ว นางที่เขาเข้าใจว่าซื่อบื้ออ่อนต่อโลกกลับรู้จักวางแผนเสียด้วย
จูมี่เอินยังไม่ได้บอกแผนในทันที นางขอให้เขาสั่งคนไปเตรียมยาสมุนไพรตามที่นางเขียนไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการล่าช้า เหรินโยว่หลุนก็เห็นด้วยตอนเรียกคนมาสั่งการนั้นเขาก็บอกให้เตรียมเสบียงอาหารและน้ำไปเพิ่มด้วย
หลังจากนั้นพอคนที่ถูกสั่งงานจากไปแล้วจูมี่เอินก็ลองบอกเขาถึงสิ่งที่นางคิด พอได้ฟังแผนของนางเสร็จเขาก็ตัดสินใจทันที
"ไม่ได้ เสี่ยงเกินไป" เหรินโยว่หลุนเอนตัวพิงเก้าอี้มองคนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตนเอง
"มีอะไรที่เสี่ยงกันเพคะ" จูมี่เอินคิดว่าแผนของนางยอดเยี่ยมมากนะ "พระองค์ลองตัดสินใจว่าจะทำตามแผนของหม่อมฉันในใจได้ไหมเพคะ"
"ในเมื่อข้าไม่ยอมแต่แรกแล้วจะให้ยอมเห็นด้วยในใจไปทำไมกัน" เหรินโยว่หลุนยังไงก็ไม่เห็นด้วย แม้จะห่วงราษฎรของตนมากแต่ที่นางเสนอมาก็เหมือนจะเป็นภัยต่อนางมากเกินไป
"เมื่อครู่พระองค์ได้บอกหม่อมฉันว่า ก่อนที่หม่อมฉันจะเห็นนิมิตรรอบสองพระองค์คิดจะส่งเสบียงไปด้วย แสดงว่าผลของเหตุการณ์มันอยู่ในส่วนที่พระองค์คิด นิมิตรก็เลยเปลี่ยนด้วย หาก ลองยอมเห็นด้วยกับหม่อมฉันนิมิตรอาจเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งก็ได้ เราจะได้รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น"
จูมี่เอินไม่ได้มีสีหน้าไม่ยินดีที่โดนปฎิเสธความคิดของตนเอง ยามนี้นางกลับยิ่งดีใจที่ได้ว่านิมิตรใหม่เกิดขึ้นมาได้หลังจากที่นางลองเปลี่ยนแปลงมันและมีฮ่องเต้ช่วยทำให้มันสำเร็จ พอเขาเองก็มีความคิดจะส่งเสบียงไป นางก็เห็นว่าชาวบ้านนั้นล้มตายจากการขาดอาหารด้วยเพราะเสบียงที่นั้นไม่เพียงพอและเสบียงของวังหลวงส่งไปไม่ถึง จึงคาดการณ์ไปว่าหากฮ่องเต้ทรงยอมทำตามที่นางขอต่อมาอาจได้มองเห็นนิมิตรอีกครั้ง
ตอนนี้แม้จะรู้ว่าพวกเขาหาหมู่บ้านได้ทันก็จริง แต่ก็ยังไม่รู้ถึงชื่อของหมู่บ้านด้วยซ้ำ หากทำตามแผนของนางไม่แน่ว่าอาจพบหมู่บ้านเร็วกว่าเดิมก็เป็นได้
"ก็ข้าทำใจยอมรับแผนของเจ้าไม่ได้ คิดยอมตกลงในใจไปยังไงก็ไม่ได้ผลตามเดิมนั้นแหละ"
"เพคะ" จูมี่เอินมีสีหน้าเศร้าหมองลง มันก็เป็นจริงอย่างที่เขาพูด ความรู้สึกของตนเองไม่อาจเปลี่ยน ต่อให้คิดตามที่นางพูดไปยังไงมันก็ยังคงเหมือนเดิม
ใกล้ค่ำแล้ว จูมี่เอินเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน ในใจนึกสงสารชาวบ้านเหล่านั้น ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทรงจัดการเช่นไรให้เสบียงไปถึงได้ครบตามที่ส่งออกจากวัง นางยังคงไม่เห็นนิมิตรอะไรใหม่ แสดงว่าชาวบ้านยังคงต้องตายเช่นเดิม
ทว่าขณะที่ล้มตัวลงนอนนางก็เกิดเห็นภาพนิมิตรขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้สติร่างบางก็รีบลุกขึ้น สะบัดผ้าห่มออกจากตัว เมื่อหย่อนเท้าลงจากเตียงได้ก็ออกตัววิ่งทันที รองเท้าก็ไม่ทันได้สวมใส่
ตุบๆ
จังหวะของฝีเท้านั้นสอดคล้องกับเสียงของหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตื่นเต้นและดีใจจนลืมสิ่งรอบกายไปจนสิ้น
ร่างบางวิ่งออกไปตามทางเดินที่ทอดยาวของวังหลวง นางไม่รู้ว่าควรจะพบเขาที่ไหนในยามนี้ รู้เพียงว่าต้องยืนยันสิ่งที่ตนเห็นให้ได้
กึก
ทว่าเมื่อพบใครบางคนที่ทางเดินแล้วนั้นนางก็หยุดเท้าลง ดวงตาคู่สวยมองฝั่งตรงข้ามนิ่งงัน รอยยิ้มบางเบาปรากฏให้เห็น ประหนึ่งเรื่องที่แบกรับไว้ได้ถูกยกออกไปแล้ว
"เจ้าเห็นแล้ว?" เหรินโยว่หลุนนั้นเป็นคนช่างสังเกตอยู่แล้ว ท่าทางเช่นนี้ของนางทำให้เขามั่นใจ ทอดสายตามองร่างบางในชุดนอนกับรอยยิ้มที่โล่งใจของนางกลับทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบคล้ายลืมหายใจไปชั่วขณะแล้วเพิ่งเริ่มหายใจใหม่อีกครั้ง
ภาพตรงหน้างดงามหาใดเปรียบไม่ได้ แม้ตัวเขาจะเคยเห็นสาวงามมามากแต่กลับรู้สึกว่านางนั้นต่างออกไป หากเทียบนางกับสนมในวังคนภายนอกอาจคิดว่าก็งดงามพอๆ กัน แต่สำหรับเหรินโยว่หลุนในยามนี้ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนได้เห็นว่านางงดงามที่สุดในใต้หล้าไปแล้ว
จูมี่เอินออกเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา เสื้อผ้าที่เบาบางสีขาวลอยลู่ไปด้านหลังต้านแรงลมที่ประทะร่างของนาง ราวกลับมันมีชีวิต เมื่อมาถึงตรงหน้าของเหรินโหยว่หลุนแล้วนางก็หยุดลง กล่าวออกไปว่า
"ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท" นางลืมแม้แต่จะทำความเคารพ ลืมแม้แต่ว่าตนในยามนี้ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นยิ่งนัก รองเท้าก็ไม่ได้สวม ผมก็ปล่อยสยายลงมาจนหมด หัวใจดวงเล็กกำลังเต้นเร็วขึ้นเมื่อรู้ว่าเขายอมเชื่อใจนาง ยอมตกลงตามที่นางได้เสนอออกไปเมื่อกลางวัน นางนึกทบทวนสิ่งที่เห็นในหัวก็ก้มหน้าลงต่ำอย่างใช้ความคิด มีสีหน้ากังวลขึ้นมาอีกครั้ง
"มันแย่ลงหรือไม่?" เหรินโยว่หลุนรีบถาม หากมันแย่ลงเขาจะเปลี่ยนใจทันที
"ไม่เพคะ" จูมี่เอินรีบเงยหน้ามามองเขาส่ายหน้าหลายที มันดี มันดีมากจริงๆ
"เจ้าโกหก?" เขาถามย้ำอีกรอบเพราะสีหน้าของนางยังดูเป็นกังวลอยู่เลย
"หม่อมฉันเปล่า" จูมี่เอินรีบปฎิเสธ นางไม่เคยโกหกสักครั้งในชีวิต เออ...ก็มีอยู่บ้างแต่ถือว่ามันจำเป็น เหมือนตอนนั้นที่เขาถามว่านางรู้ไหมว่าใครวางยาเสด็จพ่อของเขา นั้นเป็นครั้งแรกที่นางโกหกเขา ยามแรกนางคิดว่าจะรู้สึกไม่ดีเสียอีกที่โกหกเขา แต่พอพูดออกไปกลับรู้ว่าแบบนั้นมันดีมากแล้ว
"แล้วเหตุใดยังเป็นกังวลอีก" เหรินโยว่หลุนหรี่ตาลงพยายามสังเกตสีหน้าต่อไปของนางอีกครั้ง
"ยังคงมีคนเสียชีวิตเพคะ"
"เท่าไหร่"
"ห้าคนเพคะ" นางตอบออกไป เผลอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างลืมตัว คล้ายกำลังสนทนาอยู่กับศิษย์พี่ของตนอยู่
"จูมี่เอิน" เหรินโยว่หลุนเรียกนางเสียงเบาคล้ายปลอมประโลมนางไปด้วย เอื้อนเอ่ยสิ่งที่ทำให้จูมี่เอินไม่คิดมากออกไป "ห้าคนก็ดีมากแล้ว ดีกว่าคราแรกที่เจ้าเห็นว่าหมดหมู่บ้านไม่ใช่หรือ หากคนจากไปเยอะเช่นนั้นโรคระบาดอาจจะลามไปถึงหมู่บ้านอื่นอีก ยามนี้แสดงว่าอย่างน้อยเจ้าก็ได้ช่วยไว้อีกหลายร้อยหลายพันชีวิตไว้ได้แล้ว"
