34 พอเป็นข้า เจ้าไม่ยินดี?
"เพคะ?" นางตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะรีบหลบตาลงต่ำอีกครั้ง กฏของวังหลวงนางได้อ่านแล้ว ถึงการเข้าออกวังจะเข้มงวด แต่นักบวชไม่ได้มีคำสั่งห้ามออกจากวังนี่น่า หรือนางอ่านข้ามส่วนไหนไปกันนะ
"ต้องให้พูดซ้ำอีกรอบรึไม่?" แม้น้ำเสียงเขาจะราบเรียบแต่ตอนนี้จูมี่เอินรู้แล้วว่าเสียงแบบนั้นของเขาไม่ปกติ
"หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ" จูมี่เอินโค้งหัวลงและยกฝ่ามือขึ้นกลางอกหนึ่งข้างทำท่ารับทราบในแบบนักบวช
เหรินโยว่หลุนยิ้มบางพออกพอใจที่สามารถสั่งการนางได้ดั่งใจ แถมหลังๆ มานางก็รู้จักพูดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ตอนพานางมาจากอารามวันๆ ถามอะไรไปก็ทำเพียงส่ายหน้า ไม่ก็พยักหน้าแค่นั้น
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางอยู่ในอารามนานเกินไปรึยังไงใบหน้าเล็กๆ นั้นนอกจากจะตกใจแล้วก็ไม่ค่อยแสดงสีหน้าแบบอื่นให้เห็นอีกเลย
ร่างสูงยืนขึ้น คิดจะทำตามความคิดในหัวเมื่อครู่ที่ตนนิ่งไป ก่อนหน้านี้ ที่เขานิ่งไปก็คือเขาวางแผนจะหาทางแกล้งนางยังไงดี ตอนนี้จึงเดินไปหานาง ตั้งใจจะหยิบถาดไม้มาถือ แต่ก็แอบเอามือของตนกุมมือเล็กไว้ปลายๆ
เป็นดังที่เขาคาด จูมี่เอินตกใจจนชักมือกลับไปทันทีที่เขาสัมผัสโดนมือของนาง นางปล่อยมือออกจากถาดไม้ทันที เหรินโยว่หลุนเองก็จับถาดไม้ไว้ทันก่อนที่มันจะหลุดลงไปที่พื้น
"ข้าช่วยเจ้าเก็บเอง" เหรินโยว่หลุนหลุดยกยิ้มที่มุมปาก เห็นท่าทางของนางแล้วก็ยิ่งชอบใจ
จูมี่เอินคราวนี้ไม่เผลอเงยหน้าขึ้นทำเพียงขมวดคิ้วด้วยความงุนงง เหตุใดต้องมาช่วยนางเอาถาดไปวาง ยามนี้นางควรต้องปฏิเสธหรือไม่ มองเห็นถาดไม้ไปอยู่ในมือเขาแล้วก็รีบยื่นมือออกไปดึงไว้คืน
"หม่อม...หม่อมฉันทำเองดีกว่าเพคะ" นางคว้าถาดไว้ได้แล้ว ดึงก็ดึงแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยมือออก
"ทำไม? ข้าช่วยเจ้า เจ้าไม่ยินดี แต่พอเป็นเหรินเยว่เทียนอาสาพาเจ้าไปที่อารามเจ้ากลับยินดีตามไป"
"มะ..." นางกำลังจะปฎิเสธแต่พอคิดไปคิดมาก็ถูกอย่างที่ฮ่องเต้ทรงตรัส ปกตินางก็ไม่ใช่คนที่ใจคิดอย่างแต่พูดอีกอย่าง ถ้ามีใครถามอะไรมานางมักจะตอบตามความจริงเสมอ
"เขาเป็นถึงอ๋อง ทางที่ดีข้าขอเตือนเจ้าให้อยู่ห่างๆ เขา"
"แล้วพระองค์ไม่..." จูมี่เอินกำลังจะถามว่าแล้วพระองค์ไม่ใช่ฮ่องเต้หรือ คนที่นางควรกลัวและห่างให้มากที่สุดควรเป็นเขามากกว่า แต่นางก็เลือกที่จะไม่พูดออกไป "ทราบแล้วเพคะ" วันนี้ทำไมถึงได้ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิมกันนะ หัวใจนางรู้สึกหวิวๆ ยังไงไม่รู้ เป็นเพราะตกใจมากเกินไปใช่ไหม
การที่นางยังตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่เพียงเพราะดวงตาวิเศษของนางอาจมีผลมากขึ้นถ้าได้อยู่ใกล้ฮ่องเต้ นางคิดว่าเขาน่าจะมีอะไรพิเศษเหมือนกัน ถึงการอยู่ในวังนั้นต้องระวังตัวอยู่ตลอดจนนางรู้สึกอึดอัดก็ยังตัดสินใจที่จะลองดูสักพัก
แต่หากเขายังเป็นแบบนี้อยู่นางคิดว่าไม่นานคงต้องขอออกจากวังไปแน่ หากออกไปแล้วยามนั้นนางจะเดินทางไปหาศิษย์พี่ อย่างน้อยก็ยังเหลือคนที่คอยให้พึ่งพิง
"แล้วเจ้าคิดจะไปที่อารามวันไหน?"
"หม่อมฉันไม่มีวันหยุดเลยยังไม่แน่ใจเพคะ" เพราะฮ่องเต้ทรงงานทุกวัน นางก็ต้องมาจุดธูปทุกวัน ไม่มีวันหยุดเหมือนเหล่าขุนนาง หากแต่พูดถึงการเป็นนักบวช ศิษย์พี่ของพวกนางก็ไม่มีวันไหนเว้นจากการหยุดทำสมาธิหรือหยุดเรียนรู้กันสักวัน ดังนั้นการที่นางไม่มีวันหยุดนางจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ แค่อยากมีเวลาว่างเพียงเล็กน้อยเพื่อจะเดินทางไปอารามได้ก็เท่านั้น
"งั้นเดี๋ยวข้าหาเวลาว่างพาเจ้าไป"
"เพคะ?" จูมี่เอินไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงตรัสว่าอย่างไรนะ นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างลืมตัว
พรึบๆ
แต่แล้วนางก็ได้เห็นนิมิตรขึ้นมาพอดี
เหรินโยว่หลุนแม้จะเห็นดวงตาสีทองของนางมาหลายครั้งแล้วแต่ก็อดที่จะมองอย่างลืมตัวไม่ได้ เขาแทบจะไม่กระพริบตาตนเองเพื่อจะมองดวงตาคู่สวยของนางได้นานยิ่งขึ้น
พรึบ
ไม่นานดวงตาของนางก็กลับคืนมาเป็นสีดำ ร่างบางที่ยื้อถาดอยู่ในมือกำลังจะทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรง เหรินโยว่หลุนรีบปล่อยถาดในมือของตนออกไป แล้วเกี่ยวเอวบางไว้ด้วยมือข้างหนึ่งดึงนางมาหาตนเอง
จูมี่เอินที่ยังไม่ได้สติครบถ้วนรีบคว้าต้นแขนทั้งสองข้างของคนตรงหน้าไว้โดยไม่รู้ตัว นางต้องการหาที่ยึดเหนี่ยว ไม่ได้สังเกตว่าตนได้ตกไปอยู่ในอ้อมแขนของคนตรงหน้าแล้ว
เคร้ง ถาดไม้หล่นลงที่พื้นข้าวของบนนั้นกระจัดกระจายไปคนละทาง แต่ไม่มีใครสนใจหันไปมอง คนด้านนอกที่ถูกไล่ไปไกลก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาดูหากไม่มีรับสั่งจากฮ่องเต้
เหรินโยว่หลุนมองใบหน้าสวยที่อยู่ไม่ห่างจากตน เขาไม่เร่งถามนาง รอให้นางได้สติคืนมาจนครบถ้วนก่อน
"โรคระบาด ท้องร่วง มากับน้ำ หมู่บ้านทางเหนือ"
