33 เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด
"ได้ยินว่าเจ้าต้องการไปที่อารามในเมืองหลวง?" เขากุมข้อมือของนางไว้ในมือของตนเอง ผิวสัมผัสนุ่มลื่นเหมือนเต้าหูทำให้เขารู้สึกแปลกใจ แม้มองภายนอกจะรู้ว่านางเป็นหญิงสาวที่มีผิวพรรณดีคนหนึ่งทั้งทีอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกล แต่ใครจะไปคิดว่าตัวนางจะนุ่มขนาดนี้ นุ่มจนเขาเผลอออกแรงบีบไปไม่น้อย
และยิ่งพอได้รู้ว่านางยังไม่ได้ผ่านพิธีกรรมเป็นนักบวชโดยแท้จริงเขาก็ไม่สนใจที่จะห้ามตนเองไม่ให้ถูกเนื้อต้องตัวนาง ตอนอยู่ในรถม้าเขายังให้นางพิงเขาไว้นานสองนาน เขาเองก็ใช่ว่าไม่เปลืองตัวนี่น่า ยามนี้แค่เขาขอจับนิดจับหน่อยคงไม่เป็นไรสินะ
"เพคะ"
พอได้ฟังคำตอบแล้วก็เผลอบีบข้อมือนั้นเพิ่มขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว นางยังตั้งใจจะไปจากเขาจริงๆ ช่างเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอะไรเช่นนี้
เหรินโยว่หลุนหลุบตามองข้อมือเล็กที่พยายามจะดึงกลับไปหาเจ้าของ รอบมือของเขาที่กำแขนของนางอยู่บนผิวขาวๆ นั้นเป็นรอยขึ้นมา แค่เขาออกแรงบีบเบาๆ ยังเริ่มแดงขนาดนี้เลย ถ้าทำมากกว่านี้มันจะเป็นยังไงนะ...ความคิดไม่ดีมากมายผุดขึ้นในหัวที่ชั่วร้ายของเขา เหรินโยว่หลุนเงยหน้ากลับขึ้นไปมองคนที่อยู่ด้านบนหัวของตน
"เจ้าอยากจากไป ไม่อยากอยู่ในวังหลวงหรือ?"
จูมี่เอินหลายวันที่ผ่านมานางมีนิมิตรที่ต่างไปจากแค่เห็นความตายและอุบัติเหตุร้ายแรงของผู้คน ยามนี้สามารถเห็นอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ด้วย เลยคิดว่าอาจเป็นไปได้หลายอย่างที่มีส่วนช่วย ทั้งการได้นั่งสมาธิเพิ่ม การได้อยู่ใกล้คนที่นางเห็นภาพนิมิตรได้ชัดเจนที่สุดอย่างฮ่องเต้ ซึ่งเป็นคนเดียวที่ทำให้นิมิตรของนางเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้นางตัดสินใจที่จะอยู่ที่วังหลวงต่อ เผื่อลองศึกษาพลังวิเศษของตนเอง
นางเลยไม่ได้มีความคิดที่จะจากไปแบบในคราแรกแล้ว พอได้ยินเขาถามประโยคเมื่อครู่ออกมานางก็ตอบออกไปและไม่ทำเพียงส่ายหน้าเหมือนปกติที่เคยทำ "หม่อมฉันไม่ได้จะไปจากวังหลวงเพคะ"
เหรินโยว่หลุนยกคิ้ว เป็นกงกงที่รายงานข่าวผิดงั้นหรือ?
"แล้วทำไมถามถึงที่ตั้งของอารามในเมืองหลวงกัน" พอได้ยินคำตอบของนางเพียงประโยคเดียวกลับทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มมานานมอดดับลงไป
"กงกงบอกว่าหีบเงินไม่รับไว้ไม่ได้ แต่หม่อมฉันไม่มีเรื่องที่ต้องใช้เงิน เลยจะเอาไปบริจาคที่อาราม"
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหรินโยว่หลุนตัดใจปล่อยแขนเล็กให้เป็นอิสระเพราะเขาดึงนางไว้ทำให้นางยืนไม่สะดวกมาสักพักแล้ว
ทันทีที่ถูกปล่อยจูมี่เอินก็รีบถอยห่างจากเขา ท่าทางของนางอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด เหรินโยว่หลุนอมยิ้ม นางเล่นละครได้แนบเนียนดี วางตัวเป็นนักบวชได้เหมือนยิ่งนัก หรือในอีกทางหนึ่งก็คือนั้นอาจเป็นนิสัยปกติของนางอยู่แล้วกันนะ ก็นางซื่อบื้อเสียขนาดนี้
เหรินโยว่หลุนพินิจมองใบหน้าของจูมี่เอินอย่างละเอียดอีกครา
หากนางไม่ได้บวชแล้วไยสตรีที่งดงามเช่นนี้ถึงไม่มีบุรุษไหนมาสู่ขอไปกันนะ นั่นเลยทำให้เขาคาดเดาได้ไปในทางเดียวเลยว่านางอยู่ในอารามมาจนทุกวันนี้นั้นนิสัยเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ไม่ได้เสแสร้งแสดง นิสัยที่หมายถึงก็คือแบบที่เพิ่งจะทำตัวถอยห่ายเขาออกไปเมื่อครู่นี้ นั้นไม่ใช่การตบตาเขาว่าตนเองเป็นนักบวชเลยพยายามวางตัวให้เหมาะสม นางนั้นไม่ทันคน ไม่รู้เรื่องราวรอบตัว แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี ดียิ่งนักที่นางยังคงไม่ถูกใครแต่งเข้าบ้านไป
เหรินโยว่หลุนยังคงมองคนที่ก้มหน้าลงต่ำอยู่อย่างชอบใจแล้วถามนางว่า
"เจ้าจะเดินทางไปเอง?" เมื่อครู่นางบอกนางเคยหลงทาง แถมนางยังมาจากหมู่บ้านที่อยู่ไกล การที่จะปล่อยให้นางไปคนเดียวก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ถึงนางจะโตแล้วสามารถจดจำอะไรได้โดยง่าย แต่เมืองหลวงตรอกซอกซอยเยอะกว่าหมูบ้านเล็กๆ นัก และแม้จะเป็นอารามของเมืองหลวงแต่ก็ไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองแม้แต่น้อย ที่ตั้งของอารามอยู่ไกลบ้านคนขึ้นไปทางเขาฝั่งตะวันตก หากเดินทางจากที่วังไปก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวันแล้ว
หีบเงินนั้นก็ไม่ใช่เบาๆ และดูท่านางจะบริจาคทั้งหมดโดยไม่คิดจะแบ่งไว้ใช้เองสักตำลึง เหรินโยว่หลุนไม่เคยรู้เลยว่าคนที่โตมาในอารามจะเป็นแบบนี้ นักบวชหลวงที่วังก็ไม่ได้ใจบุญเท่ากับนางด้วยซ้ำ
"คุณชายเหรินเยว่เทียนบอกจะพาไปเพคะ"
"คุณชาย?" คุณชายอะไรนะ นางหมายถึงเหรินเยว่เทียนหรือ? เขาฟังผิดไปหรือไม่
"คุณชายเหรินเยว่เทียนเพคะ" จูมี่เอินนึกว่าตนพูดเบาไปฮ่องเต้เลยไม่ได้ยิน นางจึงกล่าวออกไปอีกรอบ สมกับที่เหรินโยว่หลุนบอกว่าซื่อบื้อไม่มีผิด
เขามิได้ไม่ได้ยินเสียหน่อย เพียงแค่ไม่อยากเชื่อว่านางจะเรียกอ๋องห้าสนิทสนมขนาดนั้น หรือนางไม่รู้ฐานะของเจ้านั้นกัน คราแรกนั้นเขาอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วแต่พอรู้ว่าใครจะไปกับนางก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอีกรอบ
"เขาให้เจ้าเรียกเขาเช่นนั้น?"
"เพคะ" นางก็ตอบออกไปตามความจริง
เหรินโยว่หลุนเงียบไป ไม่พูดไม่จาอันใด จูมี่เอินเองก็ไม่รู้ว่าตนสามารถไปได้หรือยัง นางยังคงยืนถือถาดไม้ไว้ในมือก้มหน้าลงต่ำ
นานสองนานเหมือนเหรินโยว่หลุนคิดอะไรจนตกแล้วถึงได้สั่งออกมาว่า
"หากไม่มีรับสั่งจากข้าเจ้าห้ามออกจากวัง ถ้าจะออกให้มาขอข้าก่อน" เหรินโยว่หลุนกลับมาใช้คำว่า 'ข้า' อีกครั้งอย่างไม่ถือตัว
