26 ต้องการจากไป
จูมี่เอินที่นิ่งค้างอยู่ในกระโจมไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน นางหมุนตัวเดินตามออกไป ยังไงนางก็เป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา นอนที่ไหนก็ได้นางไม่เกี่ยง และดูท่าจะไม่มีกระโจมว่างอีก ฮ่องเต้จะไปบรรทมที่ใดกันหากนางมาพักอยู่ที่นี่
พอเดินออกมาก็เห็นแผ่นหลังสูงของเขาหยุดยืนอยู่หน้ากระโจม นางก็หยุดตาม เขามองซ้ายทีนางก็มองตาม เขามองขวาทีนางก็มองตาม
มีอันใดน่าสนใจรึ? เห็นทั้งสองฝั่งก็มีเพียงนายทหารที่มีท่าทางแปลกๆ ฝั่งละคนเท่านั้น เมื่อครู่ก็คล้ายได้ยินเสียงเขาพูดอะไรออกไปแต่นางไม่ทันฟัง
"เจ้าตามออกมาทำไม? เดี๋ยวข้าสั่งให้คนเอาอาหารและยาไปให้" เหรินโย่วหลุนเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีคนหยุดยืนอยู่ข้างหลัง ก็หันไปบอกนาง ใบหน้าปกติที่เคยเรียบเฉยยามอยู่บนรถม้าด้วยกันก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีสีหน้ากังวลยามมองมาที่นาง
ทหารสองคนที่อยู่ห่างกันต่างมองหน้ากันทันที
'เจ้าได้ยินรึไม่น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของฮ่องเต้?'
'ทำไมจะไม่ได้ยิน เมื่อครู่สุรเสียงของพระองค์ยังคล้ายจะสั่งตัดหัวพวกเราอยู่เลย'
"หม่อมฉันจะไปพักกับนางกำนัลเพคะ" จูมี่เอินย่อตัวลงแล้วเดินจากไปเลย นางพูดเพียงแค่นั้น ไม่สนด้วยว่าเมื่อครู่ฮ่องเต้มีรับสั่งอะไร
ร่างบางในชุดขาวจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงสายลมบางเบายามนางก้าวผ่านไป
เหรินโย่วหลุนได้แต่มองตามนางไป ชายเสื้อสีขาวที่พริ้วไหวยามนางขยับตัวก็ดูแปลกตา เป็นครั้งแรกที่มีคนขัดรับสั่งเขา หรือเมื่อครู่ที่เขาบอกนางมันคือการถามความเห็นกัน นั่นเขาสั่งนางชัดๆ ต่อให้นางอาศัยอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงขนาดไหนแต่นางจะไม่รู้หรือไรว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร คนแบบนางเพิ่งเคยพบเคยเจอครั้งแรกจริงๆ
........
เหล่านางกำนัลอยากนอนแต่ก็ไม่กล้านอน พากันมองมาที่หญิงสาวในชุดขาวที่นอนหันหลังอยู่ในมุมสุดของกระโจม
ซึ่งจูมี่เอินไม่รู้ว่าตนทำให้พวกนางอึดอัด ตอนโผล่เข้ามาในกระโจมก็เพียงบอกว่า 'ข้าขอนอนด้วย' พอพูดแค่นั้นนางก็เดินหาที่ว่างล้มตัวลงนอน แล้วก็หลับไปเลย หลับไปทั้งอย่างนั้น อาจเป็นเพราะร่างกายของนางเพลียมากแม้จะหิวข้าวหิวน้ำแต่กลับแทบจะยืนไม่ไหว พอหนุนแขนต่างหมอนได้ก็สลบไปทันที
ถิงถิงและเพยเพยที่ทำหน้าที่ดูแลจูมี่เอินก็รีบไปหาหมอหลวงอีกรอบ
หมอหลวงพอได้ยินเสียงเรียกก็เดินออกมาดูหน้ากระโจม เห็นสองแฝดมีสีหน้ากังวล ก็ลากกันไปคุยห่างกระโจมกลัวกงกงจะได้ยินเข้า
"คนรักของฝ่าบาทไยถึงขอนอนที่กระโจมของพวกเราก็ไม่รู้" ถิงถิงรีบเล่าทันที
"หรือฮ่องเต้กับนางจะทะเลาะกัน?" หมอหลวงพูดแล้วก็มองซ้ายมองขวากลัวใครมาได้ยิน "เอาน่าหนุ่มสาวก็ธรรมดาแหละ พวกเจ้าก็ทนๆ นอนไปเถอะ" หมอหลวงรู้ว่าหากเขาเป็นนางกำนัลเองก็คงอึดอัดเหมือนกัน คราแรกทุกคนต่างก็ไม่ชอบหญิงนางนั้น แต่พอได้ยินข่าวว่านางน่าจะเป็นคนรักของฝ่าบาทก็ต่างต้องระวังตัวเองต่อหน้าจูมี่เอินมากกว่าเดิม
ใครต่างก็รู้ว่าสนมในตำหนักหลังที่วังหลวงนั้นฝ่าบาทไม่เคยย่างกรายเข้าไปหาเลย ถึงกระนั้นเหล่านางกำนัลก็ต้องเคารพสนมเหล่านั้นเหมือนเป็นเจ้านายอีกคน ทว่ายามนี้เล่า คนที่ฝ่าบาทพากลับวังไปด้วยดูท่าแล้วจะเป็นตัวจริงของฝ่าบาท ใครไม่รู้สึกอึดอัดที่ต้องนอนรวมกับนางก็คงสติฟั่นเฟือนไปแล้ว
ถิงถิงและเพยเพยจึงทำได้แค่เดินคอตกกลับไป จะนอนก็นอนไม่หลับกลัวจะเสียงดังจนไปรบกวนการนอนของจูมี่เอินเข้า หากยามนั้นสตรีนางนี้ไปพูดกับฝ่าบาทว่าพวกนางกำนัลรบกวนการนอนของนาง ยามนั้นจะโดนโทษสถานใดก็ไม่อาจคาดคิดได้
.........
คนที่ทำคนอื่นลำบากกลับไม่รับรู้อะไรแม้แต่น้อย ยามเช้าตรู่ จูมี่เอินตื่นไวเหมือนตอนที่อยู่อาราม ลืมตาขึ้นมาได้ก็ลุกขึ้นนั่งสมาธิไปครึ่งชั่วยาม นางกำนัลที่พากันอดหลับอดนอนก็เห็นว่าสตรีในชุดขาวตื่นมานั่งนิ่งไม่ไหวติง ทำท่าทางคล้ายนักพรตเต๋า พนมมือพึมพำอะไรบางอย่าง ต่างหันมองหน้ากันเหมือนขอความเห็น แล้วพอได้บทสรุปก็ค่อยๆ ก้าวเท้าแผ่วเบาเดินออกจากกระโจมไป
"เจ้าเห็นเหมือนข้าไหม"
"เห็นสิ ไม่งั้นข้าจะตามพวกเจ้าออกมารึ ไม่ใช่นางป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ"
"แต่ฝ่าบาทไปรับนางมาจากอารามนี่ หรือว่านางจะเป็นนักบวชหญิง?"
ตอนที่ทำพิธีขอฝนนั้นไม่มีใครรู้ว่าจูมี่เอินคือคนเดียวกันกับที่รั้งฝ่าบาทไว้เพราะมัวแต่ก้มหน้ากันอยู่ และจูมี่เอินก็ใส่ผ้าปิดหน้าไว้ ยามที่ไปที่อารามก็เห็นนางแต่งชุดธรรมดาไม่ได้สวมชุดของอารามเหมือนนักบวชทั่วไป แม้อาภรณ์บนกายที่นางสวมจะเป็นสีเทาที่คล้ายกันก็ตาม แต่ดูรู้ว่าไม่ใช่ชุดของนักบวช
ทว่าท่าทางนั่งสมาธิกับชุดขาวบนตัวทำให้พวกนางกำนัลคล้ายเห็นแสงเปล่งออกมาจากตัวของจูมี่เอินก็ไม่ปาน ดูน่าเลื่อมใสศรัทธา ประหนึ่งรูปปั้นของเทพเซียนในตำนาน
"ถ้านางเป็นนักบวชหญิงแล้วเรื่องคนรักของฝ่าบาทเล่า เรื่องไหนคือเรื่องจริงกันแน่"
"อาจจะเป็นเรื่องจริงทั้งสองเรื่องก็ได้ ฝ่าบาทหากต้องการใครแล้วต่อให้เป็นนักบวชหญิงแล้วยังไง ใครจะกล้าขัด"
"นั่นสิ"
เหตุนี้เหล่านางกำนัลเลยยังต้องวางตัวให้เหมาะสม ไม่มีใครกล้าพูดนินทาจูมี่เอินหรือปฎิบัติไม่ดีใส่นางแม้แต่น้อย
...........
จูมี่เอินหลังจากได้ทำแผล กินข้าวกับดื่มยาที่นางกำนัลเตรียมให้เรียบร้อยแล้วก็ถูกเรียกตัวไปพบฮ่องเต้ที่กระโจม
"หลับสบายรึไม่?" น้ำเสียงของเจ้าของกระโจมนั้นราบเรียบฟังไม่ออกว่าคิดสิ่งใดอยู่
"เพคะ" จูมี่เอินก้มหน้ามองรองเท้า ใบหน้ายังคงไร้สีเลือด เมื่อเช้าตอนที่นางนั่งสมาธินางไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้เลย เพราะได้รู้ว่าตนนั้นเปลี่ยนชะตาได้ด้วยตนเองก็รู้สึกผิดที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยคนอื่นอย่างเติมที่ และนางก็คิดว่าตนจะทำอะไรต่อไปดี เลยคิดว่าอาจจะกลับไปหาศิษย์พี่ ขอบวชดูอีกครั้ง แล้วก็ช่วยผู้คนให้พ้นจากเคราะห์ร้าย ทว่าประโยคต่อมาของฮ่องเต้ก็ทำนางแปลกใจ
"เดินทางไหวหรือไม่?" เหรินโย่วหลุนพอพูดไปก็เห็นนักบวชหญิงตกใจเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะรีบก้มหน้าลงตามเดิม "มีอะไรรึ?"
"ในเมื่อพระองค์ปลอดภัยแล้ว ยามนี้หม่อมฉันก็จะได้จากไป" นางเองก็ได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ไยยังต้องเดินทางไปกับฮ่องเต้อีก
เหรินโย่วหลุนหรี่ตาเล็กลงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ
นางจะจากไป?
