25 ข่าวลือที่พากันเข้าใจผิดไป
นางกำนัลฝาแฝดสองคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลหญิงสาวบนรถม้าก็ลังเลไม่กล้าถามว่าจะให้พา 'คนรัก' ของฝ่าบาทไปพักที่ไหน กระโจมนางกำนัล? หรือกระโจมฝ่าบาท?
รถม้านั้นไม่ได้กว้างมาก แม้หญิงสาวจะตัวเล็กแต่ก็นอนขดตัวไว้ตลอด ไม่สามารถยืดตัวได้เต็มที่ คนเจ็บที่น่าสงสารกลับยิ่งดูน่าเวทนาขึ้นไปอีก นี่ขนาดนางตัวเล็กแล้วก็ยังดูน่าอึดอัด ไม่ต้องพูดถึงให้เปลี่ยนเป็นพวกนางกำนัลเข้าไปนอนเลย คงนอนไม่เกินหนึ่งก้านธูปขาก็คงชาไปหมดแล้ว
"เจ้าถามสิ" ถิงถิงกระซิบบอก ถึงจะทำงานให้ฮ่องเต้มาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะถามเรื่องนี้ออกไป จึงโยนเรื่องนี้ให้ผู้เป็นพี่รับผิดชอบแทน
"เจ้านั้นแหละ" เพยเพยแม้จะเป็นคนที่สุขุมกว่าน้องสาวแต่ก็ยังไม่กล้าถามฮ่องเต้ออกไป
นางกำนัลฝาแฝดสองคนเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมือ ยกมือตีไปที่อีกฝ่ายคนละทีสองทีอยู่หน้ากระโจมของฝ่าบาท ขณะที่ไม่มีใครยอมใครอยู่นั้นก็ได้เห็นร่างในชุดขาวดิ้นทองวิ่งเข้าไปในกระโจม ดูผ่านๆ นึกว่าเทพเซียนองค์ใดลอยตัวเข้าไป แต่เมื่อมองที่ชุดอีกทีก็รู้ได้ว่าคือคนเจ็บที่นอนไม่ได้สติมานานหลายชั่วยามผู้นั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว 'หญิงคนรัก' ของฝ่าบาทที่ตนได้รับมอบหมายให้ดูแล
ทั้งคู่หันมองกัน คล้ายกับถามกันเองในใจว่า เจ้าเห็นเหมือนข้ารึไม่? พอหันมองทหารเฝ้าทางเข้าก็ได้คำตอบกลับมาคือการพยักหน้า
ยามนั้นทั้งสี่คนก็พากันถอยห่างกระโจมไปไกลอย่างรู้งาน เรื่องราวที่ว่าฝ่าบาทมีคนรักนั้นทุกคนในขบวนต่างรู้กันถ้วนหน้าแล้ว
นางกำนัลสองคนหน้าแดง รีบวิ่งไปหาหมอหลวงทันที จะต้องเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ได้
ส่วนทหารเฝ้าประตูก็มองหน้ากันยิ้มๆ จากที่ไกลๆ คนละฝั่งของกระโจม เรียกได้ว่ายามนี้หากมีมือลอบสังหารเข้าไปในกระโจมก็ไม่อาจช่วยฮ่องเต้ได้ทัน แต่ใครต่างก็รักหัวของตนเอง หากไปแอบฟังสองคนในกระโจมนั้นแล้วละก็บางที่หัวอาจจะหลุดออกจากบ่าไวกว่าที่จะโดนโทษจากคนร้ายซุ่มโจมตีเสียอีก
และจากการคาดการณ์คนร้ายคงไม่ลงมือไวๆ นี้แน่ ฉะนั้นพวกเขาทั้งสองคนไหนเลยจะเอาตัวเองไปเป็นก้างขวางคอของฮ่องเต้ได้ หนีไกลได้ขนาดไหนก็พากันถอยให้ห่างที่สุด แต่ก็ยังคงอารักขาอยู่ห่างตลอดเวลา สอดสายตามองไปรอบๆ ไม่มีแอบอู้งานแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านั้นเพียงนิด
จูมี่เอินตื่นมาก็พบกับความมืดรอบกาย นางสะดุ้งตกใจรีบลุกขึ้นทันที หลงลืมไปว่าตนเองอยู่ที่ไหนทำไมไม่คุ้นตา ครั้นเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บที่ไหล่ได้ก็นึกออกว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น
เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืดก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่ในรถม้า ตัวของนางสวมชุดสีขาวซึ่งใหญ่กว่าร่างกายของนางหลายเท่านัก ทว่าผ้ากลับนุ่มลื่นเบาสบายคล้ายไม่ได้ใส่อันใด จูมี่เอินรู้สึกไม่ชินเป็นอย่างมาก มองดูตัวเสื้อด้านในที่เป็นผ้าไหมชั้นดีสวมทับด้วยผ้าโปรงสีขาวอีกทีนางก็นึกในหัวคล้ายว่าเคยเห็นใครใส่เสื้อผ้าแบบนี้กันนะ ทว่ากลับต้องรีบดึงสติกลับมา
ฮ่องเต้!
คนที่นางเห็นว่าสำคัญที่สุดในตอนนี้ คนที่นางยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อลองดู ไปไหนเสียแล้ว? ไม่ใช่โดนลอบทำร้ายตอนนางหลับไปแล้วหรือ คิดได้ดังนั้นนางก็รีบลงจากรถม้า
มองกระโจมสามหลังที่ด้านหน้าของตนซึ่งตั้งห่างกันออกไปเป็นระยะๆ แต่กลับมีกระโจมหนึ่งที่มีทหารยืนเฝ้าอยู่และตั้งห่างจากกระโจมอื่นพอสมควร ส่วนทหารที่เหลือก็เดินวนไปมารอบๆ บริเวณกระโจมทั้งสาม นางเลยเดาว่านั้นอาจจะเป็นกระโจมของคนที่นางกำลังตามหา
ร่างบางออกวิ่งไปทางกระโจมที่คิดว่าฮ่องเต้อาจจะอยู่ในนั้น
ขอละ ขอให้เขายังมีชีวิตอยู่ เขาอาจเป็นคำตอบของคำถามจากพลังวิเศษของนาง นางเกือบต้องโดนธนูปักลงที่หัวใจจนเกือบไปปรโลกจะมาปล่อยให้เขาตายไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางหาบน้ำแล้วเดินขึ้นเขาบ่อยหรือไร ยามนี้นางวิ่งไวมาก ไวจนทหารหน้าประตูไม่ได้ห้ามนางไว้ หรือเพราะจงใจปล่อยนางเข้ามานางก็ไม่ทันได้คิด เพียงหวังจะเจอหน้าของฮ่องเต้เท่านั้น
พลัก
ร่างบางพุ่งตัวผ่านม่านของกระโจมเข้าไปจนเกือบจะหยุดตัวเองไว้ไม่ได้ แต่เมื่อมองเห็นคนที่ตนอยากเห็นก็หยุดเท้าลงทันทีจนหน้าเกือบจะคว่ำไปแล้ว เมื่อมองเขาเต็มตาแล้วนางก็นิ่ง ค้าง เบิกตาโต หูเริ่มแดง
ขะ ขะ...เขา กำลังถอดเสื้อ!
เหรินโย่วหลุนเกิดมาในตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดของแคว้น ไหนเลยจะเคยมีใครพุ่งตัวเข้ามาหาเขาเช่นนี้มาก่อนได้รับอนุญาตกัน เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน มองเห็นดวงตาคู่สวยของนางกำลังจ้องมองมาที่เขาก็รู้สึกประหม่า จึงเบนสายตาไปมองที่อื่นไม่อยากมองหน้าของนาง จังหวะนั้นก็เลยกลายเป็นว่าไปมองหูของนางแทน หูเล็กๆ นั้นก็เริ่มแดงขึ้น เหรินโย่วหลุนเองยามนี้ก็กับหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เริ่มมีอาการคล้ายนางไปเสียได้
"ขอ ขอประทานอภัยเพคะ" จูมี่เอินเริ่มชินที่จะพูดคำราชาศัพท์กับเขา นางพูดจบก็รีบหันตัวหนีเดินตัวแข็งทื่อออกไปจากกระโจม
"อะฮึ่ม" เหรินโย่วหลุนกระแอมไอ ทำไมเขาต้องหน้าแดงด้วย บุรุษเช่นเขากล้ามอกเป็นมัด แขนล่ำเหมือนนักรบ มีอะไรให้ต้องเหนียมอายกัน นางมาพอดีเลย เขากำลังกังวลว่าจะให้นางพักที่ไหนดี "อย่าเพิ่งไป" เขาจึงเอ่ยเรียกนางไว้
"เพคะ" จูมี่เอินลดมือที่เปิดม่านอยู่ลง หยุดยืนรอฟังเขาจะพูดโดยไม่หันกลับไป
"มานั่งก่อนเถิด" เหรินโย่วหลุนพอหยิบเสื้อตัวใหม่มาสวมเสร็จก็เรียกนางให้กลับมานั่ง พอมองไปที่นางก็เกือบหลุดขำออกมา ร่างเล็กในชุดสีขาวที่เป็นของเขากำลังเดินถอยหลังกลับมาตามเสียงของเขา ท่าทางเงอะงะคล้ายคนหลงป่า "ข้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว"
พอบอกออกไปแบบนั้นคนตัวเล็กก็แอบหันหน้ามามองแว็บหนึ่งแล้วรีบหันกลับไปอีกรอบ เมื่อพบว่าเป็นจริงดังที่เขาบอกนางก็หันกลับมาหาเขา ก้มหน้าลงต่ำ ท่าทางที่ไม่ได้จงใจแสดงวางมาดให้ดูงดงามแบบที่เขาเคยพบเจอทำให้รู้สึกประทับใจไม่น้อย นางต่างกับอวี้ซูหนี่ลิบลับ
เหรินโย่วหลุนพินิจมองชุดที่ตนมอบให้นางกำนัลเอาไปสวมให้จูมี่เอินก็เลิกคิ้วแปลกใจ ชุดของเขาที่นางสวมอยู่ทำไมนางกลับดูดีกว่าเขาไปเสียได้ หากตัดเรื่องความใหญ่ของชุดออกไปแล้วก็ชุดนี้ก็เหมาะกับนางมาก แม้จะเป็นชุดของบุรุษก็ตาม แต่ใครใช้ให้นางไม่มีอะไรติดตัวมาเลยเล่า กลางป่าเช่นนี้จะไปหาชุดสตรีที่ไหนมาให้นางได้สวมใส่ทันกัน
จะว่าไปแล้วสีชุดที่เขาสวมตอนนี้ก็ดันเป็นสีขาวดิ้นทองคล้ายของนางไม่น้อย แบบนี้ดูแปลกเกินไปหรือไม่ เขามองชุดตนเองกับของนางสลับกันไปมาก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา แต่ก่อนจะทันได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงราบเรียบจากคนตรงหน้าเอ่ยถามออกมา
"มีอะไรทรงรับสั่งเพคะ" จูมี่เอินก้มหน้ามองรองเท้าเนิ่นนาน ก็ไม่เห็นฝ่าบาทตรัสอะไรออกมาก็เริ่มทนไม่ไหว ตอนวิ่งมานางไม่ได้สนใจอะไร คิดเพียงว่าอยากรู้ว่าคนที่นางเสี่ยงชีวิตช่วยไว้เป็นยังไงเท่านั้น ยามนี้พอได้สติก็พบว่าตนเองนั้นแทบจะไม่มีแรงเหลือแล้วซ้ำยังปวดแผลเป็นอย่างมาก อยากหาไม้มาทุบหัวตัวเองให้สลบไปไม่ต้องรับรู้สิ่งใดเสียเดี๋ยวนี้เลย
เหรินโย่วหลุนอยากคุยกับนางหลายเรื่องมาก แต่พอได้ยินเสียงของนางคล้ายคนไม่มีแรงก็มองขึ้นไปที่ริมฝีปากของนาง ริมฝีปากที่เคยอมชมพูน่ามองกลับซีดขาวลงหลายเท่า แถมยังแห้งราวคนขาดน้ำ เห็นดังนั้นเขาก็เก็บคำถามมากมายในหัวออกไปไว้ในใจก่อน ใช่ นางเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาควรให้นางพักผ่อนเสียก่อน
"พักที่นี่เถอะ" พูดจบเขาก็เดินออกไป พอออกไปก็เห็นทหารเฝ้าทางเข้าสองคนไปยื่นห่างๆ กระโจม
เกิดอันใดขึ้น? นึกไปนึกมาก็คิดได้ว่า ทหารสองคนนั้นทำไมปล่อยให้นักบวชหญิงวิ่งเข้าไปในกระโจมเขาได้โดยไม่รายงานกัน? ยามนี้ถึงเพิ่งจะรู้สึกแปลกๆ"ทำอันใดกัน!" เขาถามออกไปทันทีด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจทำเอานายทหารทั้งสองหน้าถอดสี
พวกเขาอุตส่าห์ไม่เป็นก้างขวางคอ แล้วพวกเขาทำอันใดผิดอีกหรือ?
