23 ผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้าขอโทษข้า?
"ขอโทษที" เหรินโย่วหลุนรีบลุกขึ้น เขาช่วยประคองนางขึ้นมา นอกจากเสียงดาบประทะกันที่อยู่ประชิดรถม้าแล้วก็ได้ยินคนอีกกลุ่มที่ควบม้าออกไปจัดการนักแม่นธนูที่ดักซุ่มอยู่ในป่า
จูมี่เอินถูกประคองขึ้นมานั่งก็นิ่งชะงักมองเขา เมื่อครู่นางหูฟาดหรือไม่ ผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้าพูดขอโทษนางแถมยังช่วยประคองนางขึ้นมาอีก เขา...ช่างต่างจากที่นางคิดไว้
"มีอะไรที่ต้องรู้อีกไหม?" เหรินโยว่หลุนขยับตัวไปพิงตรงมุมของรถม้าที่จูมี่เอินเคยนั่ง ดึงร่างบางเข้ามาหาใช้ร่างของตนให้นางแอบอิง ก้มมองคนที่อยู่ในอกก็เห็นว่านางกำลังมองเขาด้วยท่าทางตกใจ
"..." จูมี่เอินรีบหลบสายตาที่มองมาสบตากับนางเมื่อครู่ ส่ายหน้าตอบออกไป แต่พอนึกถึงยศของคนตรงหน้าคิดว่าไม่ตอบออกไปเป็นคำพูดคงเป็นการเสียมารยาท จึงพูดต่อว่า "ไม่มีอะไรทำให้พระองค์สวรรคตได้อีกแล้ว เอ่อ แต่เพียงแค่ช่วงนี้เพคะ" จูมี่เอินมองลูกธนูที่อก เหงื่อเม็ดเล็กไหลอาบกรอบหน้าจนทำไรผมปอยเล็กๆ ลู่ไปกับใบหน้านวลของนาง
"เจ้าทนอีกหน่อย เดี๋ยวจะเรียกหมอหลวงเข้ามาดูให้" เหรินโย่วหลุนเปิดม่านมองเหตุการณ์ข้างนอก ดูเหมือนฝ่ายของตนต้องชนะแน่ เพราะนักบวชหญิงนอกจากจะมีสีหน้าเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วนางก็ไม่ได้มีสีหน้ากงวลเรื่องอื่นอีก แสดงว่าไม่นานคนของเขาจะเป็นฝ่ายชนะ
จูมี่เอินมองปลายคางของฮ่องเต้ที่ประคองตนไว้ พลางคิด
มันได้ผล ครั้งนี้นางเปลี่ยนชะตาชีวิตคนได้ด้วยตัวนางเอง ทำให้นางหวนนึกถึงบิดา แม่เฒ่าเมิ่ง อาจารย์ลู่ คนที่นางเห็นพวกเขาจากไปแต่ไม่อาจช่วยได้
น้ำตาหยดใสไหลออกมาอาบแก้มอีกครั้ง มันไม่ได้เกิดจากความเจ็บปวดที่แผลกลับเจ็บปวดมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เป็นนางที่หวาดกลัวมาตลอดทำให้พลาดโอกาสช่วยชีวิตคนที่ห่วงใยตนมากที่สุดไป เพียงเพราะเหตุการณ์เลวร้ายที่ฝังใจในอดีตทำให้นางจมอยู่กับตัวเองไม่เปิดใจ หากย้อนเวลาได้นางจะแก้ไขเรื่องพวกนั้นได้ไหมนะ คนที่นางรักจะไม่ตายใช่หรือไม่
ต่อไปนี้นางสัญญาว่านางจะพยายามให้มากขึ้น จะลองเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เห็นดูอีกสักครั้ง หากไม่อาจเปลี่ยนได้ อย่างน้อยนางก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว เมื่อบทสรุปของมันมาถึง ต่อให้ต้องเสียใจ อย่างน้อยนางก็ได้พยายาม และจะได้ไม่รู้สึกผิดแบบที่ผ่านมาอีก
จูมี่เอินดวงตาเริ่มหรี่เล็กลงคล้ายคนใกล้จะหลับ ปากของนางเริ่มซีดจาง เลือดไหลย้อมชุดของนางจนแดงเป็นวงกว้าง ต่อมาดวงตาคู่นั้นก็ปิดสนิทลงในที่สุด
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ทหารของฮ่องเต้ก็มารายงานจัดการคนร้ายได้ทั้งหมด แต่คนที่ถูกจับตัวได้ก็กินยาฆ่าตัวตายไปแล้ว
"จับเป็นไม่ได้เลยงั้นรึ?" เขาก้มมองดูจูมี่เอินที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ แต่พบว่านางสลบไปแล้ว นางเองบอกว่าไม่อาจบังคับพลังวิเศษได้ เขาเลยคิดว่านางอาจจะไม่เห็นอนาคตได้ทั้งหมด เรื่องนี้ไม่อาจโทษนาง เหรินโย่วหลุนหันกลับไปเรียกหมอหลวงประจำตัวที่ถูกพาไปหลบให้ออกมา
เขาจับร่างบางพิงไปที่ตัวรถม้าก่อนจะออกไปแล้วบอกว่าคนที่เจ็บอยู่ข้างใน
คราแรกหูจางหมิ่นก็ลังเลพราะเขาเป็นหมอหลวงประจำตัวของฮ่องเต้ จะให้ไปรักษาคนธรรมดาหรือ? เชื้อพระวงศ์ก็ไม่ใช่ สนมก็ไม่ใช่ เห็นว่าเป็นเพียงคนธรรมดาที่ตามลงมาจากบนภูเขาเท่านั้น แต่พอเหลือบสายตาขึ้นไปมองฝ่าบาทแว็บหนึ่งแล้วก็ได้เห็นสายพระเนตรที่พระองค์มองมายังเขา พูดได้ว่าน่ากลัวมาก! เขาจึงรีบไปทันทีด้วยความกลัวหัวจะหลุดออกจากบ่า
หูจางหมิ่นได้เห็นใบหน้าของคนเจ็บก็คล้ายจะเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาหลายส่วน สตรีผู้นี่เป็นคนรักของฝ่าบาทหรือ? ยามที่พระองค์ขึ้นเนินเขาไปหัวหน้าหมอหลวงอย่างเขาไม่ได้ตามไปด้วยเพียงรออยู่ท้ายขบวนที่ตีนเขาเท่านั้น รู้อีกทีก็พบว่าขบวนกำลังออกเดินทางแล้ว ยามนี้เพิ่งได้เห็นคนบนรถม้าอีกคนอย่างเต็มตา เป็นหญิงสาวที่หน้าตาดีมากนางหนึ่ง หูจางหมิ่นจึงรีบรักษาด้วยความเต็มใจทันทีเพราะเข้าใจผิดไปแล้วว่าอีกฝ่ายคือใคร
"อื้ม..."
เหรินโย่วหลุนที่ยืนรออยู่ข้างนอกได้ยินเสียงของนักบวชหญิงร้องออกมาจากภายในรถม้า ฟังดูเหมือนนางพยายามกลั้นเสียงไว้สุดกำลัง ความเจ็บของนางเขาไม่อาจเดาได้ เคยได้ยินแม่ทัพและทหารคุยให้ฟังว่าเจ็บมากแต่เขาเองก็ไม่เคยโดนเลยสักครั้ง เพราะตั้งแต่บิดาของเขาครองราชก็ได้ทำสัญญาพันธมิตรสงบศึกสงครามแล้ว เขาจึงไม่เคยออกรบเลย เวลาฝึกดาบก็ไม่เคยพลาดจนเป็นแผลลึกเลยสักครั้งมีแค่แผลเล็กน้อยเท่านั้นเลยไม่รู้ว่ามันจะเจ็บขนาดไหนเมื่อโดนธนูปักเขาไปลึกขนาดนั้น
หญิงสาวตัวเล็กแค่นั้นกลับเป็นคนที่ถูกลูกธนูปักเข้าไปแทนเขา เหรินโย่วหลุนกำมือแน่น ในใจรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก เพียงเพราะเขาต้องการรู้ว่าเหตุหารณ์ล่วงหน้าที่นางเห็นนั้นแม่นยำขนาดไหนจึงทำให้นางเกือบต้องตายเพราะช่วยเขา 'รอบต่อไปไม่อาจเสี่ยงแบบนี้ได้อีกแล้ว'
สิ่งที่ได้รู้เพิ่มเติมมาอย่างหนึ่งเกี่ยวกับนักบวชหญิงท่านนี้คือ นางใจกล้าเกินคนทั่วไป
ตอนนั้นได้ยินศิษย์พี่ของนางบอกว่านางวิ่งผ่าเปลวไฟเข้าไปหาอาจารย์ด้านใน เขาก็คิดว่าอาจเป็นเพียงอารมณ์อ่อนไหวชั่ววูบที่กลัวความสูญเสียเท่านั้น แต่รอบนี้ที่นางช่วยเขาดูเหมือนจะไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว ทั้งที่ใบหน้านั้นเรียบนิ่งดูไม่คิดสิ่งใด แต่กลับยอมเสี่ยงตายเพื่อคนอื่นแบบนี้ ดูจะเกินความคาดคิดของเขาไปไกล
แม้ตัวเขาเองจะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าเขาเป็นสายเลือดของมังกร ร่างกายมีค่ามากกว่าคนทั่วไปผู้อื่นที่อยู่รอบกายควรปกป้องเขาด้วยชีวิต แต่หากลองคิดกลับกัน ถ้าเขาเป็นคนธรรมดาได้มาเจอฮ่องเต้และเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ต่อให้เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่เอาตัวเองไปบังธนูแทนผู้อื่นแบบนี้แน่ นักบวชหญิงผู้นี้ถึงได้ดูแปลกกว่าผู้อื่นในสายตาเขายิ่งนัก
นามของนาง จูมี่เอิน สินะ...
