22 มันได้ผล
......
จูมี่เอินขยับตัวเข้าไปหาชายหนุ่ม พูดชื่อของตนเองออกไปยามนั้นก็พลิกตัวขึ้นบังเขาไว้
"นามของหม่อมฉันคือ จู มี่ เอิ่น อ่ะ!" สิ้นคำของนางธนูก็ปักลง ฉึบ ที่ไหลซ้ายของนางทันที
ถ้าหากมองจากมุมที่จูมี่เอินเคยนั่งอยู่แล้วละก็จะรู้ได้เลยว่าถ้านางไม่พลิกตัวยกขึ้นไปบังให้เขาได้ทัน ธนูดอกนั้นที่พุ่งเข้ามาด้วยความไวคงปักเข้าที่ตำแหน่งของหัวใจของคนด้านหลังของนาง
เขา ไม่มีทางรอด
ตุ๊บ
ร่างบางทรุดตัวลงทันที น้ำตาเอ้อคลอที่ดวงตาคู่สวย นางหงายหลังไปเพราะทรงตัวไม่อยู่เมื่อรถม้าหยุดลงกระทันหันเนื่องจากถูกโจมตีจากทุกด้าน
เหรินโย่วหลุนคราแรกยังแปลกใจว่านางทำอะไร แต่เมื่อเห็นนางกำลังล้มหงายหลังมาหาเขา ร่างสูงก็ขยับตัวออกไปรับไว้ ตอนนั้นถึงเพิ่งจะเห็นธนูปักที่หัวไหล่ของนาง
หมับ
มือใหญ่สองข้างจับร่างบางมาพิงตนไว้ได้ทันก่อนนางล้มลงไปที่พื้น ยามหลุบสายตาลงไปมองนางด้วยความตกใจก็พบว่านางเองกำลังมองมายังเขาเช่นกัน สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่เขาอ่านไม่ออกว่านางคิดสิ่งใดอยู่
พรึบๆ
ทว่าดวงตาคู่สวยที่คลอไปด้วยน้ำตากลับฉายแสงสีทองออกมา
จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงกงกงตะโกนอยู่ข้างนอกว่า
"คุ้มกันฝ่าบาท!"
เสียงความวุ่นวายดังอยู่รอบนอก เหรินโย่วหลุนได้ยินเสียงเท้าขององค์รักษ์มาประกบด้านข้างรถม้าก็เบาใจไปหลายส่วน ยามนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่นางเห็นนั้นเกิดขึ้นจริง
คราแรกที่พบกัน นางบอกให้เขาหนีไปทางป่า เขารอดมาได้แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าหากตนไปตามลำธารตั้งแต่ที่คิดไว้ตอนแรกจะเป็นยังไงเพราะนางไม่ได้บอกเขา
คราที่สองนางหยุดเขาไว้ไม่ให้ขึ้นไปบนแท่นพิธีกรรม แล้วแท่นไม้นั้นก็พังลงมาจริงๆ แต่ไม่อาจพิสูจน์ได้ทั้งหมดว่าเป็นเรื่องจริง เพราะบางทีนางอาจจะเห็นคนมาทำอะไรแปลกๆ แถวนั้นแล้วคาดการณ์ไปแล้วมันดันถูกต้อง
มีเพียงดวงตาของนางที่เป็นสีทองเท่านั้นคือเรื่องจริง แม้เรื่องการมองเห็นอนาคตนั้นเหรินโยว่หลุนจะเชื่อนางไปแล้วมากกว่าแปดในสิบ แต่เพียงแค่อยากรู้ว่ามันเที่ยงแท้ขนาดไหนเท่านั้น
ยามนี้เขาเลยลองไม่เปลี่ยนเส้นทางก็เกิดเรื่องแบบที่นางพูดจริงๆ ทว่าคนที่เจ็บกลับไม่ใช่เขาเสียได้
'เส้นทางกลับวัง ธนูปักลงที่อกข้างซ้ายของฝ่าบาท...เพคะ' คำพูดที่นางเคยบอกเขาลอยเข้ามาในหัว
เป็นเขาที่ดื้อรั้น!
เหรินโย่วหลุนใช้จังหวะที่นางคล้ายไม่ได้สติอยู่ลงมือหักปลายธนูออก
กึก
เขาโยนมันออกไปไกลนอกรถม้า ยามนั้นจูมี่เอินก็ได้สติกลับมา นางมองคนที่ตนกำลังพิงอยู่แล้วพูดออกมา
"ขวามือ ขวามือ!"
เหรินโย่วหลุนไหนเลยจะมั่วมีเวลามาคิดอะไร เขาตะโกนตามที่นางบอกออกไป
"ขวามือ!"
เมื่อได้ยินเสียงของฮ่องเต้รับสั่งออกมา องค์รักษ์หน่วยธนูที่ก็หันไปมองตามและได้เห็นคนที่กำลังจะยิงธนูมา แต่ไม่ทันการณ์ธนูของฝ่ายตรงข้ามถูกปล่อยออกมาแล้ว
ฝั่งตรงข้ามที่รอบโจมตีได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นนักแม่นธนูอย่างแท้จริง ธนูดอกแรกก็เกือบจะปลิดชีพฮ่องเต้ได้แล้วถ้าไม่มีคนมาบังไว้ แม่นขนาดที่ว่าผ้าม่านปิดอยู่ยังสามารถยิงเข้ามาได้ตรงตำแหน่งพอดิบพอดีทั้งที่ตอนนั้นรถม้าเองก็ยังเคลื่อนตัวอยู่ด้วย
จูมี่เอินรู้ว่าไม่ทันการณ์ นางยันมือยืดตัวขึ้นเล็กน้อย หมุนตัวแล้วทิ้งตัวเองไปด้านหลัง มือก็เอื้อมออกไปดึงคนที่ตัวเองพิงอยู่เมื่อครู่ให้หลบมาด้วยกัน
ตุ๊บ
ร่างสูงโดนดึงลงไปก็ทับลงที่คนตัวเล็กทันที จูมี่เอินที่หลังกระแทกพื้นก็รู้สึกเจ็บที่บาดแผลมากกว่าเดิม แถมยังโดนคนที่ตัวโตกว่าล้มทับลงมาอีก นางมวดคิ้วมุ่นด้วยความเจ็บ กัดฟันทนไม่ร้องออกไป
ธนูดอกนั้นที่หมายชีวิตของคนในรถม้าก็ทะลุผ่านม่านบางเข้ามา
ปัก
ปักลงที่พนักของรถม้าด้วยความไว
เหรินโยว่หลุนได้ยินเสียงของธนูอีกดอกปักลงที่ข้างหลัง เขาหันไปมองก็เป็นดังคาด มีธนูพุ่งเข้ามาจริงๆต่ำแหน่งที่ธนูดอกนั้นปักลงคือตรงที่เขานั่งพิงอยู่พอดิบพอดี หากเมื่อครู่นักบวชหญิงไม่ดึงเขาหลบมาด้วย ธนูลูกนั้นคงปักเข้าที่คอของเขาแทน ความไวและความแม่นยำของนักธนูที่รอบโจมตีในครั้งนี้นั้นองค์รักษ์ของเขาก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ทันแน่ เป็นนางที่ช่วยเขาไว้อีกรอบ
ด้านนอกเองก็มีเสียงต่อสู้ขึ้นดังมาไม่หยุด กลุ่มผู้โจมตีเข้าต่อสู้กับเหล่าองค์รักษ์ของฮ่องเต้ ล้อมรถม้าของวังหลวงไว้ทั้งหมด
"ลุก ขึ้น" ภายในรถม้าจูมี่เอินเค้นเสียงพูดด้วยความยากลำบาก ยกมือตบไปที่แขนคนด้านบนเบาๆ นางกัดฟันด้วยความเจ็บ
เมื่อครู่ที่เขาทับลงมาดีที่ไม่ทับลงโดนไหล่ซ้ายที่มีธนูปักอยู่ ไม่งั้นนางไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะโดนธนูที่มีก้านหักๆ ปักเข้าไป หรือจะเป็นนางที่โดนดันลูกธนูเข้าไปลึกกว่าเดิมกันแน่ แต่ยามนี้รู้แน่ชัดคือเขาทับนางทั้งตัว แถมเขาก็หนักเอาเรื่อง คนที่ดูเหมือนจะตัวบางกลับหนักกว่าที่เห็น "ตัวหนัก...มาก" ฮ่องเต้ผู้นี้กินยักษ์เข้าไปรึไงกัน
