21 ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ
แต่พวกเขาที่อยู่กับนางมานานถึงหนึ่งปีกลับรู้สึกว่านางก็แค่เด็กตัวเล็กคนหนึ่ง โดยไม่เคยรู้ถึงความสามารถพิเศษของนาง จนหกปีให้หลังก็แทบไม่เคยนึกถึงเรื่องนั้นอีกเลย ซึ่งในตอนนี้เองพวกเขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเช่นกัน
เพียงแค่คิดว่าฮ่องเต้อาจชมชอบใบหน้าที่งดงามของน้องเล็กก็เท่านั้น แต่นางและพวกเขาต่างโกหกไปแล้วว่าน้องเล็กเป็นนักบวชหญิง หลังจากนี้จะเป็นยังไงถ้านางตามเขาไป ไม่มีใครกล้าคิดเลย ถ้าความแตกน้องเล็กจะเป็นยังไง ศิษย์พี่ทั้งสี่จึงได้แต่มองนางอย่างกังวล
ทว่าเมื่อเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้แล้วนั้นก็เบาใจขึ้นมา
น้องเล็กหันมองมาที่พวกเขาอีกคราแล้วออกเดินก่อนโดยมีฮ่องเต้เดินตามข้างหลัง ภาพนี้ช่างน่าแปลกตายิ่งนัก คนปกติหากไม่ใช่องครักษ์ก็ต้องเดินตามหลังฝ่าบาท ทว่ากลับเป็นน้องเล็กเดินนำ ส่วนฮ่องเต้กลับเป็นผู้ตาม คล้ายชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังปกป้องหญิงสาวที่ตนรักก็ไม่ปาน
จูมี่เอินเดินลงจากเนินเขาของอารามมาก็ถึงพื้นที่ราบ ในดวงตามองเห็นขบวนที่รอรับเสด็จอยู่ไม่ไกล
เหรินโย่วหลุนกลับไม่รู้ตัวว่าเขาไม่อาจละสายตาจากนางมาได้สักพักแล้ว ยามเห็นนางเดินขึ้นรถม้าของตนไปก็ไม่ได้บ่นอะไรสักคำ ขนาดกงกงเองที่เดินตามมาตลอดทางยังมีสีหน้าตกใจ อยากจะท้วงติงนางแต่พอเห็นฮ่องเต้ของตนไม่ว่าอะไรก็เงียบปากลงทันที
ร่างบางในชุดสีเทานั่งลงที่พื้นในมุมหนึ่งของรถม้า นางเงยหน้าขึ้นมอง ดูจากมุมนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าในนิมิตรนั้นตัวนางเองนั่งอยู่ตรงนี้
อีกอย่างที่จูมี่เอินรู้สึกแปลกใจคือปกตินางเห็นคนอื่นแต่ไม่เคยเห็นตนเองในนิมิตรสักครั้ง ตอนนั้นที่ช่วยเขาที่ลำธารนางมองเห็นตัวเองด้วย ครานี้ก็เช่นกัน เรื่องของเขาจึงน่าสนใจสำหรับนางมาก
เหรินโย่วหลุนก้าวเข้ามาต่อจากนาง นั่งลงบนที่นั่งตรงตำแหน่งที่หันหน้าไปยังทางออกของรถม้า ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับนักบวชหญิง
ตอนนี้เขาเองก็ยังจ้องนางไม่วางตา เด็กสาวตัวเล็กนั่งอยู่ที่มุมรถม้าตรงทางออก อาภรณ์ผ้าบางสีเทาที่นางสวมทำให้นางดูอ่อนนุ่มคล้ายตุ๊กตาที่ทำมาจากผ้าอยู่หลายส่วน แม้จะเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่ได้ทรง แต่นางยังคงน่ามองจนไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางเป็นหญิงที่งดงามมากคนหนึ่ง
รถม้าเริ่มออกเดินทางแล้ว
เหรินโย่วหลุนเห็นนางมาตัวเปล่าก็คิดไปว่าของของนางคงถูกเผาไปหมดแล้ว นางเหตุใดถึงไม่รู้ว่าอารามจะถูกเผา เขาสงสัยจนต้องเอ่ยปากถามออกไป
"เจ้าไม่รู้ว่าอารามจะถูกเผา?"
แต่กลับเป็นคำถามที่พอพูดออกไปแล้วก็นึกตลกตัวเองขึ้นมา หากนางรู้นางคงไปไม่ปล่อยให้มันไหม้ไปเช่นนั้น แต่คำตอบจากนางมีเพียงส่ายหน้ากลับมา คล้ายเข้าใจว่าเขาไม่ได้อยากถามอะไรแบบนั้น เพราะที่จริงที่เขาอยากรู้คือนางมองไม่เห็นทุกเรื่องหรือ พอนางส่ายหน้ากลับมาเช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ควรถามสิ่งใดต่ออีก
ด้วยไม่รู้ว่านางเป็นคนที่พูดน้อยอยู่แล้วหรือเพราะเจอเหตุการณ์ไม่ดีมาจึงได้เงียบเช่นนี้กัน พอนึกได้ดังนั้นเขาเลยเลือกให้นางอยู่กับตนเองไปสักพักคงจะดีกว่าไปเค้นถามนางในตอนนี้
ท่าทางที่นางนั่งเหม่อลอยท่ามกลางซากไหม้ของอารามยังจำได้ติดตา เจอเหตุการณ์เช่นนี้มา ใครปกติได้ก็คงนับว่าแปลกเกินไป
สิ่งที่เหรินโย่วหลุนรู้สึกว่ามันแปลกอีกอย่างก็คือ อารามที่เพิ่งเปียกฝนกลับไหม้จนแทบไม่เหลือเค้าเดิมนั้นต้องมีคนวางเพลิงเป็นแน่ หลังจากที่ไฟดับจนหมดแล้วก่อนเขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว
เหลือเพียงแค่รอคนของตนกลับมารายงานเท่านั้น ไม่อาจรู้ได้ว่าใครในอารามไปทำให้ผู้อื่นโกรธเคืองรึไม่ แต่เขาแน่ใจอย่างหนึ่งคือไม่มีทางที่อารามจะเกิดไฟไหม้ขึ้นเองได้
ผ่านไปสักพักใหญ่จูมี่เอินตัดสินใจพูดกับเหรินโย่วหลุน
"ข้า...หม่อมฉันไม่อาจควบคุมสิ่งที่มองเห็นได้เพคะ" นางตอบสิ่งที่เขาอยากรู้ออกไป นางหาใช่คนโง่ นางสามารถตีความหมายที่เขาจะซื่อได้จากประโยคที่เขาถามทิ้งไว้ "และอีกอย่างคือ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้"
พอพูดจบประโยคนางก็เงยหน้ามองเขาโดยตรง ตัดสินใจจะลองดูสักครั้งว่าตนจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของเขาได้รึไม่ หรือเป็นเขาที่เปลี่ยนชะตานั้นเอง
"เป็นเช่นนั้น..." เหรินโย่วหลุนพยักหน้าทำความความใจ ไม่ทันคิดถึงสิ่งที่นางพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรม ทั้งที่เขารอดมาได้ถึงสองครั้ง อาจเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนที่เห็นภาพพวกนั้นเลยไม่รู้ว่าที่ตนรอดมาได้นั้นมันต่างจากภาพในนิมิตรของนาง ไม่รู้ว่าเพราะการรอดตายของตนจึงทำให้นางตัดสินใจตามมาในครั้งนี้ ครั้นต่อมาเหมือนเหรินโยว่หลุนเพิ่งนึกอะไรได้เขาก็ถามออกไป
"เจ้าชื่ออะไร/เจ้าชื่ออะไร"
เป็นจูมี่เอินที่พูดออกมาพร้อมกับเขา เลียนแบบทั้งคำและจังหวะการพูดแบบในนิมิตรที่นางจำได้
นางจ้องหน้าเขาไม่วางตา จากนั้นก็นับในใจเป็นจังหวะตามที่จำได้ในภาพนิมิตร ยามนางบอกชื่อของตนออกไปร่างกายก็ขยับเข้าหาเขาไปด้วย พลางพูดว่า "นามของหม่อมฉันคือ จู มี่ เอิน อ่ะ!"
