2 พลัดหลง
ค่ำแล้ว...นางกัดฟันมองประตูรั้วของบ้านที่ถูกทำขึ้นมาจนปิดหมดทั้งจวน เนื่องจากจะได้ไม่มีใครมองเห็นนาง บิดาถึงได้ทำประตูรั้วจนทึบเช่นนี้ไว้รอบบ้าน ตัดนางออกจากผู้คนภายนอก ยามนี้พอนางจะก้าวขาออกจากบ้านก็นึกหวาดกลัวขึ้นมา
หันมองร่างไร้วิญญาณของบิดาที่มีผ้าขาวปิดไว้ นางก็กัดฟันก้าวขาเดิน ลากรถเข็นที่มีร่างของบิดาอยู่บนนั้น ความกลัวกัดกินในใจ คล้ายออกจากที่หลบภัยสู่โลกภายนอก มองเห็นมารดายืนรออยู่หน้าบ้านก็พยายามออกแรงลากรถเข็นออกไปหา
มือเล็กเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มจากความประหม่า ทว่าเมื่อเดินออกมาพ้นประตูแล้วก็มีความกล้าขึ้นหลายส่วน ยามนี้เพราะมืดแล้วคนในหมู่บ้านต่างพากันเข้านอนหมด นางจึงสามารถนำร่างของบิดาออกไปฝังกับมารดาได้
'ถ้าหากวันใดข้าจากไปแล้วให้เจ้าพาข้าไปฝังไว้ที่เขาด้านหลัง ที่นั่นมีหลุมศพอยู่หลุมหนึ่ง ฝังข้าไว้ตรงนั้นข้างหลุมศพนั้น'
นึกถึงเสียงพูดของบิดาที่อ่อนแรงยามพูดออกมาคล้ายคนที่ไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ นางสงสารเขาจับใจ
แน่นอน ด้วยดวงตาของนางนั้น จูมี่เอินรู้ว่าบิดาจะจากไป นางเห็นภาพตั้งแต่ครั้งนั้นที่บิดาโอบกอดนางไว้กลางฝูงชน แต่เพียงเพราะกลัว กลัวที่จะพูดออกไป และรู้ว่าไม่อาจแก้ไขได้จึงต้องจำใจทนรู้อยู่กับความเป็นจริงเพียงผู้เดียวมาตลอดหลายปี เฝ้ามองบิดาจากตนไปในที่สุด
เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนดวงจันทร์กระจ่างใส แสงสีทองอ่อนอาบทั่วพื้นดิน ตลอดการเดินทางไปเขาหลังหมู่บ้านจึงไม่ยากอะไร เพียงแค่นางต้องออกแรงมากถึงจะสามารถพาร่างของบิดาขึ้นเขามาได้
ท่านแม่ของนางเดินอยู่ข้างนาง ไม่ได้ช่วยนางออกแรงลากบิดาเลยสักนิด คล้ายคนเหม่อลอยคิดอะไรในใจ จูมี่เอินเหลือบมองนางด้วยความเข้าใจ ท่านแม่กำลังเสียใจ เรื่องแค่นี้นางทำได้ ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ลำบากเพียงแค่เหนื่อยไปบ้างก็เท่านั้น นอกจากความเหนื่อยบนใบหน้าแล้วยังปะปนไปด้วยน้ำตาสองสายที่ไหลอาบแก้มตลอดทาง นางไม่สะอื้น ไม่ร้องไห้เสียงดัง คล้ายเสียใจแต่พยายามเก็บอาการ
เป็นเวลาเกือบชั่วยามที่ลากรถเข็นมา ในที่สุดก็เจอหลุมศพที่บิดาบอก บนหลุมศพนั้นเขียนชื่อไว้ 'อู่เยว่เสี่ยง' จูมี่เอินเพียงมองผ่านตาไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเป็นเพียงญาติคนหนึ่งของนางที่บิดาไม่เคยเอ่ยถึงเพียงเท่านั้น
จูมี่เอินยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาบนในหน้า กัดฟันขุดหลุมด้วยแรงทั้งหมดของเด็กน้อยที่ตนมี ทั้งปาดน้ำตาทั้งขุดหลุม นานจนครึ่งค่อนคืนกว่าจะลึกพอที่จะฝังร่างของบิดาลงไป
มองเห็นมารดายืนอยู่ไกลๆ ไม่ร่ำไห้ไม่หลั่งน้ำตา จูมี่เอินกลับสงสารมารดามากกว่าเดิม คิดว่านางคงจะเสียใจมาก เสียใจจนไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้แม้สักหยด
ไม่นานนางก็ฝังร่างของบิดาและโกยดินมากลบจนมิด ทำเนินดินขึ้นมา หาหญ้าและดอกไม้มาปลูก ยามนั้นมือสองข้างเล็กๆ ก็เต็มไปด้วยแผล นางยังคงร้องไห้แต่ไม่เอื้อนเอ่ยอันใดออกมาแม้ครึ่งคำ
ร่างเล็กที่ไม่สูงตามเกณฑ์ถอยหลังออกมาสองก้าว ก้มลงเคารพหลุมศพของบิดา จนกระทั่งการเคารพครั้งสุดท้าย ก็ได้เอาหน้าทิ่มไว้กับมือเช่นนั้นแล้วร้องไห้เสียงดังออกมาในที่สุด
เนิ่นนานจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าไหร่ ถึงทำใจลาจากมาได้ ระหว่างทาง มารดากลับพานางเดินไปอีกทางบอกให้นางทิ้งรถเข็นไว้ ทว่ามารู้ตัวอีกทีนางก็เหลือตัวคนเดียวเสียแล้ว
รอบด้านไร้ทางเดิน ต้นไม้สูงใหญ่ หญ้ารกครึ้ม ไร้ร่างของอีกคน
"ท่านแม่ ท่านแม่" น้ำเสียงเล็กเอ่ยเรียกมารดานั้นสั่นเครือและแหบแห้ง หมุนตัวมองหานางภายในความมืดอยู่หลายครา
"ท่านแม่ ท่านอยู่ที่ไหน" ความกลัวเริ่มกัดกินหัวใจของนาง มือเล็กที่เต็มไปด้วยแผลสั่นไม่หยุด นางปลอบใจตัวเอง ใจเย็น ใจเย็นเถิด ท่านแม่คงหลงกับนาง ไม่แน่ว่ายามนี้อาจกลับไปรอนางที่บ้านก็เป็นได้
จูมี่เอินนั้นเป็นเด็กฉลาดความจำดี นางจำทางที่เดินมาเมื่อครู่ได้ จึงหันหลังกลับ เดินไปที่หลุมศพของบิดา คิดว่าหลังจากนั้นนางก็จะสามารถกลับบ้านได้โดยไม่หลง ตลอดทางนางยังคงร้องเรียกหามารดาเผื่อมารดาของนางจะยังคงตามหานางอยู่ในป่าก็ได้ ในใจภาวนาให้ไปถึงก่อนรุ่งส่าง แต่กลับไม่ทันการเสียแล้ว
ชาวบ้านคนหนึ่งที่ออกหาของป่ากลับมาพบนางเข้าพอดี
นางร่ำร้องในใจว่า แย่แล้ว! ต้องหลบเขา แต่เห็นนิมิตรตอนไหนไม่เห็น ดันมาเห็นตอนนี้
นางแน่นิ่งไป ขาที่จะก้าวหลบผู้คนก็ไม่ขยับดั่งใจหวัง ดวงตาของจูมี่เอินเปล่งประกายสีทองสว่างขึ้นมา ทำให้ชาวบ้านผู้นั้นที่ตอนแรกไม่ทันได้สังเกตเห็นเด็กสาวก็พบนางเข้าจนได้ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กที่คนอื่นเล่าลือกันว่าเป็นตัวอัปมงคล ยิ่งได้เห็นดวงตาสีทองของนางเขาก็ยิ่งหวาดกลัว
"ปีศาจ ปีศาจชัดๆ" ทำไมดวงตาของนางถึงเป็นเช่นนี้ ชายผู้นั้นกลัวมากแต่ก็ได้แต่พยายามข่มใจ ตะโกนเรียกเพื่อนที่เดินมาหาของป่าด้วยกันซึ่งอยู่ไม่ไกล "นางตัวอัปมงคลอยู่ที่นี่!!!" ขาของเขาสั่น ดวงตาเบิกโพลง จ้องมองเด็กสาวที่ดวงตามีประกายสีทอง ไม่นานกางเกงก็อาบไปด้วยน้ำสายหนึ่งจากส่วนกลางของลำตัว ด้วยความอายก็รีบหนีบขาไว้กลัวเพื่อนของตนมาเห็นเข้า
พรึ่บ
จูมี่เอินที่ได้สติกลับมาจากภาพในหัวยามนั้นดวงตาก็กลับมามีสีดำดังเดิม นางตกใจ ทอดมองคบไฟที่กำลังตรงมาทางนางหลายดวงซึ่งอยู่ไม่ไกลมากแล้วก็ตระหนักได้ในใจว่า ไม่ได้การคนพวกนั้นคือคนในหมู่บ้าน ซึ่งไม่มีใครต้องการให้นางอยู่ที่นั่น หากนางดึงดันที่จะกลับไปที่หมู่บ้าน มารดาต้องเดือดร้อนเป็นแน่
