1 วัยเยาว์ที่รันทด
บทนำ
บ้านของจูมี่เอินก็ไม่ได้ร่ำรวยอันใด เพียงทำธูปหอม กำยานทั่วไป แต่ก็ถือว่ามีเงินทองเก่าแก่ของรุ่นปู่รุ่นย่าทิ้งไว้ให้ ทำให้ครอบครัวของนางมีอันจะกินมากกว่าบ้านอื่น
จูมี่เอินปีนี้อายุได้เพียงแค่สิบขวบ กลับต้องพบเจอเรื่องสะเทือนใจที่เด็กคนหนึ่งยากจะรับไหว เป็นเพราะครอบครัวของนางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลไร้หมอ ไร้ยารักษาโรค บิดาของนางป่วยหนักจึงเสียชีวิตลงโดยไม่ทันได้รับการรักษา
นางเป็นเพียงแค่เด็กสิบขวบไหนเลยจะเข้มแข็งพอที่จะเผชิญเรื่องสูญเสียขนาดนี้ได้ แต่ยังดีที่ว่านางยังมีมารดาอยู่เรื่องราวในตอนนี้เลยไม่ได้โหดร้ายจนเกินไป
ตอนนี้ค่ำแล้ว จูมี่เอินยืนมองประตูรั้วบ้านที่เปิดอ้าออกอยู่ แสงจันทร์วันนี้ดูเหมือนเป็นใจ มันส่องสว่างจนมองเห็นบริเวณรอบกายโดยไม่ต้องใช้คบไฟ
ประตูบานนี้ที่นางกำลังมองอยู่นั้นดูแปลกตาเล็กน้อย เพราะปกติมันมักจะปิดอยู่เสมอ นางจำไม่ได้แล้วว่านานเท่าไหร่ที่นางไม่เคยก้าวขาออกจากบ้านหลังนี้ จำได้เพียงสาเหตุของเรื่องราวที่ทำให้นางถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างเลือนลางเท่านั้น เรื่องราวเกิดขึ้นเพราะดวงตาวิเศษของนาง การมองเห็นความตายของผู้อื่น
ยามนั้นนางได้เห็นคนตายทั้งหมู่บ้านจึงไปเตือนพวกเขาถึงโรคระบาดที่กำลังจะมาที่หมู่บ้านของนาง สิ่งที่นางรับรู้และได้เห็นนั่นคือ...คนล้มป่วยเกือบทั้งหมู่บ้าน ตกตายไปก็หลายคน ไม่อาจป้องกันได้ทันท่วงที
เมื่อนางรวบรวมความกล้าบอกคนในหมู้บ้านออกไปถึงโรคระบาดที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่วันต่อจากนี้ ก็เป็นจังหวะนั้นที่ยายเฒ่าคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่กลางหมู่บ้านกลับได้โอกาสใส่ร้ายนางว่านางเป็นตัวหายนะ ด้วยเพียงเพราะครานั้นจูมี่เอินเอ่ยทักเรื่องบุตรชายของยายเฒ่าจะตายในสนามฝึก นางห้ามให้เขาไม่เข้าสมัครทหาร ให้ทำงานที่บ้านดีกว่า แต่สองแม่ลูกกลับไม่เชื่อ กล่าวหานางว่าอิจฉาบุตรชายของยายเฒ่าที่กำลังจะได้เป็นนายทหาร นางจะไปอิจฉาทำไม นางเป็นเพียงแค่เด็กน้อยเท่านั้น สุดท้ายบุตรชายของยายเฒ่าก็สมัครไปเป็นทหาร
แล้วต่อมาก็เป็นจริงดั่งที่จูมี่เอิ่นบอก บุตรชายของยายเฒ่าตกตายไปในสนามฝึกจริงๆ ทำให้ยายเฒ่าฝังใจมาเนิ่นนานว่าที่บุตรตนเองต้องตายไปเป็นคำสาปแช่งจากจูมี่เอิน แต่ยายเฒ่าไม่เคยมีโอกาสได้แก้แค้นสักครั้ง
ครานี้พอจูมี่เอินทักเรื่องที่ทำให้เกิดการสูญเสียของคนในหมู่ครั้งใหญ่ขึ้นมา การทักท้วงก่อนหน้านั้นของจูมี่เอินก็ถูกพูดถึงขึ้นมาทันที ยายเฒ่าจงใจใส่ร้ายป้ายสีนางสารพัด คนในหมู่บ้านหลายคนที่เคยโดนนางทักท้วงไปในทำนองคลองเดียวกันถึงความตายของคนในครอบครัวพวกเขาจึงเห็นดีเห็นงามไปด้วยกันเสียหมด
รอบด้านเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์หนาหู จากที่ควรจะสนใจเรื่องโรคระบาด กลับมากลายเป็นว่าความสนใจพุ่งมาที่ตัวของจูมี่ เอินแทน
"เป็นนางที่บอกว่าอาอินลูกข้าจะป่วยหนักจนตาย แล้วเขาก็ตายจริงๆ"
"ใช่ๆ ไม่กี่วันก่อนยัยเด็กปีศาจนี่ก็บอกว่ามารดาของข้าจะทานอาหารแข็งติดคอตาย นี่ข้าก็เพิ่งจัดงานศพให้นางไป ฮื่อ..."
จูมี่เอินเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กไม่อาจต่อกร ไม่อาจแก้ตัว ใบหน้านางเต็มไปด้วยน้ำตาจากความรู้สึกผิด คนพวกนั้นล้อมวงต่อว่านาง จนนางคิดไปจริงๆ แล้วว่าตนคือตัวหายนะ นำความโชคร้ายมาสู่ผู้อื่น นางได้แต่นั่งงอตัวร้องไห้เอามือปิดหูแน่นด้วยความกลัว ร่างเล็กสั่นเทิ้มแต่คนรอบตัวนางกลับไม่มีใครสนใจ
ทั้งที่สิ่งที่นางบอกนางไม่ใช่คนทำให้เกิด แต่กลับโดนมองด้วยสายตาประณามระคนหวาดกลัว เสียงคนรอบตัวของนางต่างพูดกันไม่หยุด นางแทบจะฟังไม่ออกว่าพวกเขาพูดสิ่งใด จดจำได้แต่ท่าทีที่พวกเขามีต่อนางเท่านั้น
"นางบอกบิดาข้าจะจมน้ำ เย็นวันนั้นเขาไปหาปลาก็เกิดจมน้ำตายขึ้นมา เป็นเพราะนางจริงด้วย ข้าคิดมาตลอดแต่ไม่เคยกล้าพูดออกมา เด็กตัวแค่นี้กลับรู้จักสาปแช่งผู้อื่น"
"ใช่ๆ วันนั้นข้าก็อยู่ด้วย ได้ยินเต็มสองหู วันนั้นดวงตาของนางยังแปลกไป สีเหมือนงูพิษไม่มีผิด ไหนจะครานั้นนางทักข้าเรื่องตกเขา วันต่อมาข้าก็ตกเขาจนขาหักจริงๆ เป็นเพราะนางรู้ว่าข้าเห็นดวงตาของนางเป็นแน่จึงได้สาปแช่งข้า นางเป็นปีศาจ นางสาปแช่งผู้อื่น!"
จูมี่เอินส่ายหน้า นางไม่ได้ทำ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า สาปแช่ง คือสิ่งใด นางไม่ใช่คนพูดเก่ง นางชอบรับฟังผู้คนมากกว่า เมื่อโดนพูดให้ร้ายเช่นนั้นก็ไม่อาจพูดสิ่งใดเพื่อแก้ตัวได้เลย ได้แต่หวาดกลัวสายตาของคนเหล่านั้นที่มองมาที่นาง
"นางเป็นตัวหายนะ!"
"นางเป็นตัวกาลกิณี!"
คนที่นางเคยเตือนเคยทักท้วงเพื่ออยากช่วยเหลือคราวนี้กลับส่งเสียงต่อว่านาง ใส่ร้ายนาง หน้าตาของพวกเขาในสายตาของเด็กน้อยกลับดูมืดดำ ดวงตาขาวสว่างคล้ายภาพหลอน นางกลัว กลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำได้เพียงขดตัวกลมสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หยาดน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ไม่รับรู้รอบกาย
แต่เมื่อต่อมาก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมมาจากด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนจากคนผู้นั้นทำให้นางเบาใจลงราวกลับได้รับการปกป้อง เสียงเอ่ยกระซิบแผ่วเบาปลอบโยนนางดังขึ้นข้างหู นางจำได้ นั่นคือท่านแม่ของนาง ต่อมาก็เป็นแขนใหญ่อีกคู่โอบนางและมารดาไว้นั่นก็คือบิดาของนาง
มีเพียงบิดาและมารดาที่ออกมาปกป้องนาง ขอร้องคนในหมู่บ้านอย่ามองนางเป็นตัวกาลกิณีเช่นนั้น พวกท่านบอกจะดูแลนางอย่างใกล้ชิด ด้วยนิสัยดีของบิดาและมารดาที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นมาตลอด ทำให้ชาวบ้านยอมรามือถอยคนละก้าวในที่สุด
นั่นเลยเป็นเหตุให้นางถูกขังไว้ในจวนหลายปี จนกระทั่งวันนี้บิดาจากไป ตอนเช้าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าวการจากไปของบิดานางก็พากันมาขับไล่นางออกจากหมู่บ้าน ส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้านของนาง ยังดีที่มารดาออกไปพูดอะไรบางอย่างกับพวกเขาทำให้พวกเขาจากไปในที่สุด
