19 ไม่อาจฝืนชะตา
.........
จูมี่เอินเมื่อเข้าไปถึงตัวอาจารย์ได้ก็รีบคว้าตัวเขาจะพาออกไปด้านนอก แต่เมื่อสัมผัสโดนตัวของเขาแล้วก็ได้แต่ทรุดตัวลง ไม่สนเรื่องชายหญิง ไม่สนเรื่องความถูกต้อง นางยกร่างของอาจารย์ขึ้นมากอดไว้ในอก
"อ้าก!" นางร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลอาบใบหน้า ส่งเสียงร้องที่สิ้นหวังที่สุดออกมาจากก้นบึ่งของหัวใจ
พบร่างของอาจารย์แล้ว เขาไม่โดนไฟไหม้แต่ก็ไม่มีลมหายใจแล้วเช่นกัน มองดูควันรอบกายก็เข้าใจได้ว่าเขาจากไปด้วยสิ่งใด
"ฮึก ฮึก ไม่ ไม่ ฮื้ออออ ท่านฟื้น ท่านฟื้น ฟื้นขึ้นมา ข้าสัญญาจะเป็นเด็กดี ข้าสัญญาจะเชื่อฟังท่าน ฮึก ข้าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนอีก ข้าขอโทษ อ้าก..." นางร้องไห้คล้ายจะขาดใจตายให้ได้ ก้มลงร้องไห้กับอกของอาจารย์อยู่นานสองนาน ไม่สนว่ารอบกายเป็นอย่างไร สติไร้ความนึกคิดไปชั่วขณะ ราวกับพร้อมจะจากไปกับอาจารย์ของตน
เปลวไฟรอบตัวร้อนมากแต่นางกลับไม่รู้สึก
เสียงของไฟที่ไม้แผ่นไม้ดังประทุจนเกิดเสียงรอบด้าน แต่นางก็ไม่ได้ยิน
ผ่านไปสักพักร่างบางยืดตัวขึ้น ดวงตาเหม่อลอยถอดมองไปยังเปลวเพลงรอบตัว ไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าอาจารย์ของตนนั้นจากไปแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เชื่อจนหมดใจไปแล้ว
'ไม่อาจฝืนชะตา'
.........
เหรินโย่วหลุนเมื่อไฟมอดลงจนหมดแล้วก็รีบพุ่งตัวไปในซากไหม้ของอารามทันที กงกงร้องห้ามไม่ทัน เขาอยากวิ่งตามเข้าไปแต่ก็ไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้ เพราะศิษย์ทั้งสี่คนวิ่งตามเข้าไปด้านในต่อจากฮ่องเต้แล้ว
กึก
ร่างสูงหยุดลงเมื่อพบคนที่ตนต้องการมาหา
คนตัวเล็กนั่งตัวตรงในชุดสีเทาอ่อน ดวงตาเหม่อลอยไร้สติ ใบหน้างดงามที่ไร้ผ้าปิดใบหน้า นอกจากคราบน้ำตาที่อาบสองแก้มนวลแล้ว นางก็ไม่ได้มีตรงไหนที่เหมือนคนวิ่งผ่านไฟเข้ามา แตกต่างจากเหรินโยว่หลุนที่ไม่ได้อยู่กลางกองเพลิงแต่กลับมีรอยเขม่าของฝุ่นควันเปื้อนไปทั่วทั้งตัว
"มี่เอิ่น/ท่านอาจารย์" ศิษย์ทั้งสี่คนที่ตามมาต่างวิ่งเข้าไปหา ผ่านตัวของเหรินโยว่หลุนไป
"อาจารย์จากไปแล้ว" จูมี่เอินก้มมองอาจารย์ที่นอนหลับตาอยู่บนตักของนาง เอ่ยบอกศิษย์พี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง แววตายังคงหม่นแสง
"อาจารย์!" เสียงร่ำไห้ดังมาจากนักบวชทั้งสี่คน
จูมี่เอินมองใบหน้าที่มีความเมตตาของอาจารย์ นางจดจำไว้ในหัวจนขึ้นใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า นางไม่ถามว่าเขามาทำไม ไม่ถามว่ามาหานางหรือไม่ ไม่ได้คิดอะไรในหัวทั้งนั้น
เหรินโย่วหลุนที่ถูกมองหัวใจกลับรู้สึกแปลกๆ นักบวชหญิงที่เคยช่วยเขาไว้เมื่อสามปีก่อนบัดนี้นางโตขึ้นมาก ใบหน้าสวยสะ ครานตา แต่ตัวของนางนั้นเล็กจนเขาคิดว่านางยังเป็นเด็กในคราแรก ทว่าเมื่อเห็นนางเต็มตาเช่นนี้แล้วก็รู้ว่านางน่าจะเลยวัยปักปิ่นมาแล้วหลายปีเป็นแน่
.......
หน้าอารามที่มอดไหม้
จูมี่เอินมองป้ายที่สลักชื่อของอาจารย์ในมือตน เป็นภาพเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ที่นางเห็นในนิมิตรของตน
หลังเสร็จสิ้นพิธีกรรมของอาจารย์ ศิษย์พี่เองก็ปรึกษากันว่าจะย้ายไปที่อารามหมู่บ้านข้างๆ แทนชั่วคราว เพราะอารามของพวกเขาไม่เหลืออะไรไว้พอจะสร้างขึ้นมาใหม่ได้เลยและก็ไม่ได้มีเงินมากพอในซ่อมแซมบำรุงรักษาอารามขึ้นมาใหม่ด้วย นี่จึงเป็นทางเลือกเดียวในตอนนี้ที่พวกเขามี
"น้องเล็กเราไปกันเถิด" เห็นศิษย์น้องอู่ยืนถือป้ายชื่อของอาจารย์ไว้ในมือเหล่าศิษย์พี่ก็พากันปวดใจไปตามกัน พวกเขาเก็บของของตนที่เหลืออยู่เพียงคนละนิดมารวมกันหน้าอาราม ซึ่งใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็พร้อมออกเดินทาง
ยามนั้นเองขบวนเสด็จของฮ่องเต้ที่จากไปแล้วกลับมากันอีกรอบ
"จะไปไหน?" เหรินโย่วหลุนกลับไปเปลี่ยนชุดมา พอมาถึงก็เห็นรถเข็นที่มีข้าวของเพียงน้อยนิดจอดอยู่หน้าอารามที่ไหม้ไป
"ถวายบังคมพะยะค่ะ" ศิษย์ทั้งสี่คนของอารามยกมือขึ้นทำความเคารพฮ่องเต้ มีเพียงจูมี่เอินที่ยังคงยืนนิ่งไร้สติทำเพียงมองป้ายในมือไม่สนสิ่งใดในโลก
ก่อนหน้านี้จูมี่เอินหลั่งน้ำตาเป็นสายคล้ายจะขาดใจตายให้ได้ ยามนี้ดวงตาคู่งามก็แดงกร่ำไปทั้งสองข้าง
ปกตินางคือคนที่เข้าใจต่อโลกมากกว่าศิษย์พี่ที่บวชเสียอีก แต่เมื่ออาจารย์ลู่ของนางจากไปนางกลับคล้ายคนที่ยึดติด ผูกมัด และไม่อาจปล่อยวาง เขาเป็นเหมือนบิดาอีกคนของนาง เป็นที่พึ่งพึงให้นาง ให้ที่อยู่อาศัยกับนาง อบรมสั่งสอนนางมากกว่าที่บิดานางเคยทำให้เสียอีก การจากไปของอาจารย์นางจึงไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้จริงๆ
"มี่เอิน" ศิษย์พี่ซานที่อยู่ใกล้จูมี่เอินที่สุดก็ดึงชายเสื้อของนาง เพื่อเตือนให้นางยกมือขึ้นทำความเคารพฮ่องเต้ แต่ร่างบางกับเพียงแค่หันหน้าไปมองทางเหรินโย่วหลุน
"ไม่อาจเปลี่ยนชะตา" นางพึมพำบางอย่างกับตนเองเมื่อเห็นหน้าเขา คำที่ตนพูดออกมานั้นคล้ายจริงอยู่เก้าส่วนไม่จริงอยู่หนึ่งส่วน
พรึบๆ
แต่แล้วดวงตาที่เหม่อลอยก็แปลเปลี่ยนเป็นสีทองอีกครา
"ทุกคนถอยออกไป" เหรินโย่วหลุนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางจึงสั่งทุกคนให้ถอยออกจากนางเพื่อช่วยนางปกปิดดวงตาของนาง
เขายืนอยู่ห่างจากนางไม่มากจึงสามารถมองเห็นดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีทองอย่างชัดเจน และดีที่ตอนนี้คนอื่นพากันก้มหน้าก้มตาต่างไม่มีใครเห็นถึงดวงตาที่แปลกไปของนักบวชหญิง
