บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ผ้าปักสกุลเจียง

เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้

พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่

ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค่อยจะให้ความสนใจพวกเขาเท่าใดนัก สิ่งเดียวที่นางให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือการขายผ้าปักให้กับสกุลเจียง ยามนี้ลวดลายผ้าปักของสกุลเจียงกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ผ้าปักทุกชิ้นที่นำมาวางขายล้วนเป็นของล้ำค่า ผู้ที่จะนำไปตัดเย็บเป็นอาภรณ์เพื่อสวมใส่ล้วนเป็นชนชั้นสูงหรือไม่ก็บรรดาสตรีที่อยู่ในวัง แน่นอนว่าการที่ผ้าปักของสกุลเจียงได้รับความนิยมถึงขั้นนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือการปักผ้าและออกแบบลวดลายของโม่ชิงเยว่เป็นส่วนใหญ่

ส่วนสาเหตุที่ผ้าปักสกุลเจียงล้ำค่ามากก็เพราะในหนึ่งเดือนโม่ชิงเยว่ปักผ้าออกมาได้แค่เพียงไม่กี่ผืนเพียงเท่านั้น แม้ว่าสุขภาพของนางจะดีขึ้นแล้วแต่นางก็ไม่กล้าหักโหมมากจนเกินไป ส่วนทางสกุลเจียงนั้นคนที่ปักผ้าแบบดั้งเดิมของสกุลเจียงได้มีไม่มากแล้ว ดังนั้นคนที่สามารถปักผ้าตามที่นางออกแบบลวดลายและเดินเส้นไหมนำไปให้จึงมีแค่เพียงไม่กี่คน ผ้าปักที่ได้จึงมีจำนวนไม่มาก เมื่อมีน้อยแต่ความต้องการมากราคาของผ้าปักจึงทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นผลดีทั้งต่อสกุลเจียงและโม่ชิงเยว่

ในยามนี้สี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทางเรือนใหญ่กลับเต็มไปด้วยความร้อนใจ ซ่งเหวินหนิงกำลังโวยวายที่ร้านผ้าสกุลเจียงกล้าปฏิเสธไม่ยอมขายผ้าปักที่เหลือเพียงชิ้นเดียวให้นาง แถมยังบอกกับนางว่าหากนางอยากได้จะต้องใช้เงินถึงแปดสิบตำลึง ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมากสำหรับอาภรณ์ที่ตัดเย็บโดยใช้ผ้าปักลวดลายเฉพาะของสกุลเจียง

“ท่านแม่ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะ จะมีแค่เพียงข้าที่ไม่มีอาภรณ์ที่ตัดเย็บโดยใช้ผ้าปักลายของสกุลเจียงไม่ได้ บรรดาสหายของข้าล้วนมีกันคนละชุดสองชุดแล้ว ส่วนตัวข้านั้นกลับยังไม่มีเลยสักชุด” เมื่อซ่งเหวินหนิงเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซ่งก็พลันส่ายศีรษะ

“แล้วทำไมเจ้าจะต้องเลียนแบบผู้อื่นด้วย ก็แค่ผ้าปักธรรมดาจะสู้ผ้าไหมพระราชทานที่ฝ่าบาททรงพระราชทานมาให้ที่จวนของพวกเราได้อย่างไร” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงส่ายหน้า

“จริงอยู่ที่สู้ไม่ได้ แต่ยามนี้อาภรณ์ที่ถูกตัดเย็บโดยผ้าปักสกุลเจียงนั้นกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หยางเต๋อเฟยที่อยู่ในวังก็ยังทรงโปรดปรานผ้าปักของสกุลเจียงเป็นอย่างมาก”

"ได้รับความนิยมแล้วอย่างไร ผ้าปักที่มีราคาสูงถึงปานนั้นเจ้าไม่คิดว่ามันดูสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยหรือเจ้าอย่าลืมสิว่าเงินทองที่เจ้าใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ล้วนมาจากหยาดเหงื่อแรงกายรวมไปถึงเลือดเนื้อของพี่ชายของเจ้า" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงหันไปหาตัวช่วยของตนเองในทันที

"พี่สะใภ้ ท่านจะไม่ช่วยข้าหน่อยหรือข้ารู้ว่าสกุลของท่านกว้างขวาง ได้ยินมาว่าสกุลเจียงนี้ขอเพียงถูกใจผู้ใดก็จะลดราคาผ้าปักให้เป็นพิเศษ” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้สุ่ยอี้โหรวถึงกับยิ้มกว้างออกมาในทันที เวลาที่ซ่งเหวินหนิงอยากจะได้อะไรนางมักจะใช้คำว่า “พี่สะใภ้” มาออดอ้อนและทำให้นางใจอ่อนอยู่เสมอ

"ใช่ว่าพี่จะไม่อยากช่วยเจ้า แต่สกุลเจียงนี้ข้ายากจะเข้าไปตีสนิท เจ้าคงจะไม่รู้ว่าสกุลเจียงคือสกุลเดิมของมารดาของฮูหยิน ข้าที่เป็นแค่เพียงอนุจะกล้าเข้าไปตีสนิทกับสกุลเดิมของมารดาของฮูหยินได้อย่างไร" คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ซ่งเหวินหนิงมีสีหน้าไม่พอใจในทันที

"สกุลเดิมอะไรกัน นางเป็นกำพร้าสกุลโม่ที่ไร้ญาติขาดมิตรมิใช่หรือ หากไม่เพราะฝ่าบาททรงมีพระราชโองการพระราชทานสมรสให้ นางหรือจะมีโอกาสได้ป่ายปีนขึ้นมาแต่งกับพี่ใหญ่ของข้า ฮึ! ก็แค่ลูกกำพร้าของอดีตแม่ทัพเพียงเท่านั้น คนสกุลเจียงหรือจะไปนับญาติกับนาง" คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้สุ่ยอี้โหรวยิ้มออกมา

"แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่คิดเช่นนั้น เมื่อหลายวันก่อนคนของข้าบังเอิญเห็นว่าคนของนางไปวนเวียนแถวร้านผ้าสกุลเจียง ไม่แน่ว่านางอาจจะอยากขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียงก็ได้"

"ขอความช่วยเหลืออะไรกัน ท่านแม่ไม่ใช้กฎประจำตระกูลลงโทษนางจนตายก็นับว่าปรานีมากแล้ว เอาไว้รอพี่ใหญ่กลับมานางได้ไม่ตายดีแน่ ฮูหยินพระราชทานที่หย่าไม่ได้เช่นนั้นหรือ เฮอะ! แต่นางกล้าคบชู้แล้วคลอดลูกชู้ออกมาเช่นนี้ ต่อให้เป็นฮูหยินพระราชทานแล้วอย่างไรกันเล่า พวกเราบอกว่านางป่วยตายก็เป็นอันใช้ได้แล้ว" คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมออกมา

"เจ้าอย่าได้ปากมาก หากคนนอกมาได้ยินเข้าชื่อเสียงของสกุลซ่งคงได้ป่นปี้เพราะเรื่องนี้พอดีกัน จริงสิอี้โหรวทางท่านโหวได้ส่งข่าวคราวมาหาเจ้าบ้างหรือไม่ เหตุใดจึงได้เงียบหายไปเลยเช่นนี้ หากไม่เพราะยังคงส่งเงินทองกลับมาที่จวนแม่คงจะคิดว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับเขาไปแล้ว" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน

"ไม่ได้ส่งข่าวคราวกลับมาเลยเจ้าค่ะ จดหมายสักฉบับก็ไม่มี แต่ท่านแม่น่าจะรู้ว่าคนอย่างท่านโหวไม่ชอบการเขียนจดหมายอยู่แล้ว" สุ่ยอี้โหรวเอ่ยออกมาพลางลอบจิกเล็บเข้าไปในอุ้งมือของตนเอง

เขาไม่ชอบเขียนจดหมาย แต่ช่วงสองปีที่อยู่ชายแดนกลับมีจดหมายส่งมาที่จวนถึงหกฉบับ ในหกฉบับนั้นล้วนตั้งใจส่งมาให้โม่ชิงเยว่ทั้งสิ้น เขาเขียนมาสอบถามความเป็นอยู่ของนางอีกทั้งคนที่มาส่งจดหมายยังตั้งใจสอบถามถึงความเป็นอยู่ของนางโดยเฉพาะ มีหรือที่สุ่ยอี้โหรวจะพูดออกไปนางแค่เพียงลักลอบเก็บจดหมายเอาไว้แล้วบอกกับคนที่สอบถามว่าฮูหยินจวนโหวผู้นั้นสบายดีแล้วปกปิดไม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าและซ่งเหวินหนิงรู้เรื่องจดหมายและคนถามข่าว นางจะต้องทำให้สองคนนี้เชื่อให้ได้ว่านางคือสตรีที่ซ่งเหวินจิ้งรักนางจึงจะยังคงอยู่ที่จวนแห่งนี้ได้อย่างมั่นคง ยามนี้ทุกอย่างในจวนอยู่ในมือของนางแล้วขอเพียงกำจัดโม่ชิงเยว่และลูกๆ ของนางก่อนที่ซ่งเหวินจิ้งจะกลับมาได้แล้วหลังจากนั้นจวนโหวแห่งนี้ก็จะต้องเป็นของนางอย่างแท้จริง

"ไม่ชอบเขียนจดหมายแต่เมื่อก่อนก็มักจะส่งคนมาสอบถามความเป็นอยู่ของแม่และน้องอย่างเสมอ เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้พอแต่งงานแล้วก็ยิ่งเย็นชากับแม่กับน้อง" คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้สุ่ยอี้โหรวรีบพูดจาปลอบใจในทันที

“ได้ยินว่าชายแดนไม่ค่อยจะสงบนักท่าน ท่านโหวน่าจะติดพันการรบจนไม่มีเวลาจะคิดถึงเรื่องทางบ้าน ท่านแม่ก็อย่าได้น้อยใจไปเลยเจ้าค่ะ” คำพูดของสุ่ยอี้โหรวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ

"พี่ใหญ่ยังจะมีห่วงอะไรอีก ในเมื่อเขาสามารถแต่งพี่อี้โหรวที่เป็นนางในดวงใจเข้าจวนมาได้ด้วยความช่วยเหลือของท่านแม่ เขาก็ย่อมจะวางใจแล้วว่าท่านแม่จะต้องดูแลตนเองได้ แถมตอนนี้ยังมีพี่อี้โหรวคอยดูแลอย่างใกล้ชิดพี่ใหญ่ย่อมจะไร้ความวิตกกังวลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของที่บ้าน ท่านแม่ไม่ต้องกังวลหรอกพี่ใหญ่กลับมาเมื่อไหร่เขาจะต้องมาแสดงความกตัญญูต่อท่านแน่” ซ่งเหวินหนิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเอาใจ แต่สายตาของนางกลับพุ่งตรงไปที่สุ่ยอี้โหรวผู้มีอำนาจในการดูแลในเรือนหลังทั้งหมด ยามนี้ผู้ที่ได้กุมเงินและมีอำนาจในการควบคุมคนของทั้งจวนเอาไว้ไม่ใช่ท่านแม่ของนางแต่กลับเป็นพี่สะใภ้ผู้นี้ต่างหาก หากนางเอาอกเอาใจให้ดีแน่นอนว่าอาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักสกุลเจียงจะต้องตกเป็นของนางเข้าสักวัน…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel