บทที่ ชุ่ยเหมยสาวใช้ผู้ภักดี
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาที่เย็นมากแล้ว สิ่งที่นางนำกลับมานอกจากยารักษาโรคแล้วยังมีอาหารทั้งที่ปรุงสำเร็จมาแล้วและวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมาก เด็กทั้งสองตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้กินอาหารร้อนๆ อันหอมกรุ่น ส่วนโม่ชิงเยว่นั้นนางหมดความอยากอาหารไปนานแล้ว แต่นางก็พยายามกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเพียงพอที่จะต้านทานอาการป่วยไข
ช่วงหลายปีมานี้นางมีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด ยิ่งหลังจากที่คลอดเด็กแฝดทั้งสองนางก็ยิ่งอ่อนแอลง เงินทองที่เคยมีได้ถูกใช้จ่ายออกไปจนเกือบหมด เริ่มแรกล้วนหมดไปกับการพยายามส่งจดหมายไปหาสามี แต่เมื่อนานวันเข้านางก็คิดได้ว่าสิ่งที่ทำลงไปล้วนสิ้นเปลืองมิสู้รอให้เขากลับมาน่าจะดีกว่า
ตอนที่นางคลอดลูกแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรังเกียจนางมากเพียงใด แต่ก็ยังคาดหวังว่าลูกที่นางอาจจะคลอดออกมาจะเป็นเด็กผู้ชาย พอว่าเห็นว่าเด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนของฮูหยินผู้เฒ่าก็พากันกลับไปอย่างโล่งใจและกลับไปประกาศอย่างเปิดเผยว่านางคลอดลูกชู้ออกมาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง โดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่านางจะคลอดเด็กผู้ชายตามหลังมาอีกคนในภายหลัง แต่ในเมื่อประกาศไปแล้วว่าลูกของนางคือลูกชู้ ดังนั้นแม่สามีจึงไม่คิดจะกลืนน้ำลายตนเองด้วยการมาอุ้มหลานชายที่ตนเองประกาศว่าเกิดจากชายชู้กลับไปเลี้ยงดู ดังนั้นซ่งจื่อเยว่จึงยังคงได้อยู่กับนางที่เรือนแห่งนี้และถูกตราหน้าว่าเป็นลูกของชายชู้จากคนทั้งจวน
แน่นอนว่าเรื่องที่นางถูกกล่าวหาว่าคบชู้ผู้คนภายนอกต่างไม่รับรู้ รู้แค่เพียงว่าจวนโหวแห่งนี้ยังคงถูกปกครองโดยฮูหยินผู้เฒ่า โดยมีอี๋เหนียงจากสุ่ยที่ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ามาคอยช่วยเหลือ ส่วนนางที่เป็นฮูหยินของท่านโหวนั้นเพราะสุขภาพไม่ค่อยดีจึงได้เก็บตัวพักรักษาตัวอยู่แต่ในจวนตั้งแต่แต่งเข้ามาไม่เคยย่างเท้าออกจากจวนเลยสักก้าว นานวันเข้าผู้คนที่อยู่นอกจวนก็ต่างลืมไปแล้วว่าในจวนแห่งนี้ยังมีนางอยู่ แม้แต่เรื่องที่นางมีลูกผู้คนในจวนแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดออกไป ฐานะของลูกๆ ของนางนั้นไม่ชัดเจนผู้คนในจวนต่างก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามายุ่ง นานวันเข้าผู้คนในจวนก็แทบจะไม่มีผู้ใดในจวนกล้าพูดถึงฮูหยินของจวนเช่นนางอีก
“ฮูหยินบ่าวต้มยาให้ท่านแล้ว ท่านดื่มสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” ชุ่ยเหมยพูดพลางวางถ้วยยาเอาไว้ตรงหน้าของโม่ชิงเยว่ นางเอื้อมมือไปยกถ้วยยาขึ้นมาดื่มความขมของยาทำให้นางรู้สึกยากจะทานทน แต่เมื่อคิดถึงสภาพร่างกายของตนเองในยามนี้นางก็รีบกลืนยาขมๆ ถ้วยนั้นลงคอไปจนหมด
“เจ้าเองก็รีบกินข้าวเถอะ ประเดี๋ยวจะหายร้อนหรอก” โม่ชิงเยว่ชี้ให้ชุ่ยเหมยนั่งร่วมโต๊ะกับนางและลูก สาวใช้ผู้นี้ท่านพ่อของนางมอบให้นางตอนที่นางมีอายุได้สิบขวบ จะเรียกว่าสาวใช้ก็ไม่ถูกต้องนักต้องเรียกนางว่าผู้คุ้มกันจึงจะเหมาะสมกว่า แต่เพราะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับนางนานวันเข้ากลิ่นอายชาวยุทธ์ของชุ่ยเหมยก็จางหายไป ยามนี้ชุ่ยเหมยก็มีลักษณะเหมือนกับสาวใช้ทั่วๆ ไปที่มีวิชายุทธ์ติดตัวเพียงเท่านั้น
“บ่าวสลัดคนของสุ่ยอี๋เหนียงได้ที่ร้านขายยา ดูเหมือนพวกเขาจะดีใจกันมากที่ได้รู้ว่าฮูหยินป่วยหนัก” คำพูดของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินที่ได้รับราชโองการพระราชทานสมรสให้ หากข้าไม่ตายมีหรือนางจะได้ขึ้นเป็นภรรยาเอก ต่อให้พวกนางใส่ร้ายข้าเรื่องที่ข้าตั้งครรภ์ตอนสามีไม่อยู่ แต่ทุกคนต่างก็รับรู้กันดีว่าหากนับวันจริงๆ แล้วลูกของข้าไม่มีทางเป็นลูกชู้ ตอนนี้พวกนางก็แค่ถือโอกาสรังแกข้าในยามที่ท่านโหวไม่อยู่เพียงเท่านั้น” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้า
“ฮูหยินอย่าได้คิดมากเลย หากท่านโหวกลับมาเมื่อไหร่สถานการณ์ก็คงจะดีขึ้นเองเจ้าคะ” นี่คือคำพูดที่ชุ่ยเหมยใช้ปลอบใจนางจนติดปาก
“ก็ไม่แน่ว่าเขากลับมาแล้วจะดีขึ้น เผลอๆ อาจจะโล่งใจเสียด้วยซ้ำที่แม่ของเขากำจัดตัวยุ่งยากเช่นข้าในช่วงที่เขาไม่อยู่ ส่วนลูกๆ ของข้าถ้าหากพ่อของพวกเขาไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำจนเกินไปก็คงจะสามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นคุณหนูและคุณชายของสกุลใหญ่ทั่วไปได้” โม่ชิงเยว่พูดพลางยิ้มออกมาพลางจ้องมองซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ที่กำลังกินข้าวด้วยความเอ็นดู
“เพียงแต่พวกเราไม่อาจจะตั้งความหวังไว้ที่เขาได้อีกแล้ว ต่อให้เขากลับมาข้าก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะคิดเช่นไรต่อลูกของข้า หากวันหน้าเขามีลูกกับสุ่ยอี้โหรวลูกๆ ของข้าจะเป็นเช่นไรก็สุดรู้ แทนที่จะรอร้องขอความเมตตาจากเขามิสู้ข้าทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้นด้วยน้ำมือของตนเองจะไม่ดีกว่าหรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยพยักหน้าด้วยความยินดี
“บ่าวก็จะช่วยฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะสั่งให้บ่าวทำอะไรบ่าวยินดีจะลงมือทำเพื่อท่าน”
“เช่นนั้นยามนี้เจ้าก็จงไปกินอาหารให้อิ่มท้องก่อนเถิด แล้วหลังจากนั้นพวกเราค่อยมาปรึกษากันว่าจะทำเช่นไรต่อ” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยจึงได้ไปนั่งลงบนโต๊ะและกินอาหารร่วมกับเด็กๆ
แม้จะบอกกับชุ่ยเหมยว่าหลังนางกินอาหารอิ่มแล้วค่อยมาปรึกษากันว่าจะทำเช่นไร่ต่อไป แต่พอชุ่ยเหมยกินอาหารจนอิ่มแล้วจึงได้พบว่าโม่ชิงเยว่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ไปด้วยความอ่อนเพลียแล้ว นางจึงได้ค่อยๆ ประคองโม่ชิงเยว่เข้าไปในห้องพักเพื่อที่โม่ชิงเยว่จะได้นอนหลับพักผ่อนได้อย่างสะดวกสบาย
“ข้าเผลอหลับไปหรือ” โม่ชิงเยว่ลืมตาขึ้นมาถามด้วยสีหน้าสะลึมสะลือ
“เจ้าค่ะ ข้าจะพาท่านไปนอนพักนะเจ้าคะ เมื่อท่านตื่นขึ้นมาแล้วพวกเราค่อยพูดคุยกันเจ้าค่ะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน โม่ชิงเยว่จึงได้พยักหน้ารับ แล้วก็ทิ้งตัวลงไปนอนบนที่นอนด้วยความอ่อนเพลีย โดยไม่รู้เลยสักนิดว่ายามนี้มีสายตาสามคู่กำลังจ้องมองนางอยู่ด้วยความห่วงใย
“ท่านแม่จะหายดีใช่ไหม” ซ่งจื่อเยว่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล ชุ่ยเหมยจึงได้ปลอบเจ้านายตัวน้อยด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“เพื่อคุณหนูทั้งสองแล้ว ฮูหยินจะต้องหายดีแน่เจ้าค่ะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ นางติดตามโม่ชิงเยว่มาได้แปดปีแล้ว ทั้งในช่วงเวลาที่โม่ชิงเยว่มีความสุขมากที่สุดและในช่วงที่โม่ชิงเยว่ตกอยู่ในห้วงเวลาแห่งความทุกข์ชุ่ยเหมยล้วนอยู่กับนางด้วยทุกช่วงเวลา ยามนี้จิตใจของเจ้านายอ่อนแอและบอบช้ำอย่างหนักนางย่อมรู้ดี แต่นางเชื่อว่าคนที่มีจิตใจเข้มแข็งอย่างนายหญิงจะต้องไม่ยินยอมพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเป็นแน่
หากเป็นสตรีอื่นยามนี้คงจะถูกดินกลบหน้าตั้งแต่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าใส่ความว่าเจ้านายของนางคบชู้ไปแล้ว แต่นายหญิงของนางกลับไม่ยอมแพ้ ทั้งอ้างชื่อเสียงของจวนนิ่งอันโหว ทั้งอ้างบารมีของฝ่าบาทที่ทรงพระราชทานสมรสให้ ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะฉวยโอกาสตอนที่ท่านโหวไม่อยู่กำจัดฮูหยินมากเพียงใดก็ไม่กล้าลงมือขั้นรุนแรงอยู่ดี สิ่งที่ทำได้ก็แค่เพียงขับไล่ให้มาอยู่เรือนเปลี่ยวร้างที่อยู่ท้ายจวนอย่างเรือนเหมันต์เพียงเท่านั้น แถมยังกลั่นแกล้งด้วยการไม่ส่งของกินของใช้มาให้ ตั้งใจสร้างความลำบากให้แก่เจ้านายของนาง โชคดีที่เรือนแห่งนี้อยู่ห่างไกลผู้คน นางจึงสามารถเล็ดลอดออกไปหาซื้อข้าวของมาไว้ใช้สำหรับดำรงชีพได้อย่างไม่ทุกข์ยากและลำบากเท่าใดนัก
มีเพียงช่วงสองสามเดือนมานี้ที่เงินเก็บและเครื่องประดับของเจ้านายของนางเริ่มจะร่อยหรอ อีกทั้งเจ้านายของนางยังล้มป่วยทำให้ความเป็นอยู่เริ่มขัดสน แต่แล้วเมื่อเช้านี้เจ้านายของนางก็สามารถหาทางออกได้อีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนว่าเจ้านายของนางไม่คิดจะรอคอยเพื่อขอความเมตตาจากท่านโหวอีกด้วย
