บทที่ 2 ดูแลตนเองและลูก
เสียงร้องไห้ของเด็กสองคนปลุกให้โม่ชิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง นางค่อยๆ พยุงตนเองให้เดินไปที่ประตูห้องแล้วเดินตรงไปยังห้องที่เด็กๆ นอนอยู่ เพราะร่างกายนี้ล้มป่วยมานาน ยามนี้ยังมีไข้รุมเร้าดังนั้นความเร็วในการก้าวเดินของนางจึงช้ายิ่งกว่าเต่า แต่เพราะความเป็นห่วงลูก ทำให้นางค่อยๆ เกาะผนังห้องแล้วเดินไปหาลูกๆ ของนางได้ในที่สุด
“เด็กดี ไม่ต้องร้องนะ อีกสักครู่ พี่ชุ่ยเหมยของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว” เสียงของนางช่วยปลุกปลอบความหวาดหวั่นของพวกเขาได้ พวกเขาต่างลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องมองนางด้วยดวงตาอันกลมโตแล้วทำท่าว่าจะโผเข้ามาหานาง
“แม่ยังมีอาการไข้อยู่ พวกเจ้าอย่าได้เข้ามาใกล้มากไป ประเดี๋ยวจะติดไข้แม่เอาได้”
“ท่านแม่!” เสียงเล็กๆ ของเด็กทั้งสองทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา ลูกสาวและลูกชายของเธอเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรได้ง่ายแม้ว่าจะมีอายุแค่เพียง 2 ขวบแต่กลับพูดจาเป็นประโยคยาวๆ ได้แล้ว แม้ว่าจะมีบางคำที่ยังพูดไม่ชัดอยู่บ้างแต่ก็สามารถเข้าใจได้
“แม่อยู่ตรงนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลัว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้พวกเขาก็พยักหน้าแล้วจ้องมองแม่ของเขาด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วหรือ” เสียงเล็กๆ ของซ่งจื่อเหยาทำให้โม่ชิงเยว่แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
“แม่กำลังจะหายดี พวกเจ้าไม่ต้องกังวลนะ อีกไม่นานแม่ก็จะหายแล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้เด็กทั้งสองก็พยักหน้า
“ข้าคิดว่าท่านแม่จะตายเสียแล้ว” เมื่อซ่งจื่อเยว่พูดเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“แม่จะไม่ตาย แม่จะต้องอยู่เลี้ยงดูพวกเจ้าจนเติบใหญ่ให้ได้” นางพูดพลางยื่นมือไปลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา แต่ซ่งจื่อเยว่กลับขยับตัวหนี
“ท่านแม่เป็นไข้อยู่...” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่หัวเราะออกมาเบาๆ
“ใช่แล้วแม่เป็นไข้อยู่ พวกเราต้องอย่าใกล้ชิดกันมาก ถ้าอย่างนั้นแม่จะนั่งอยู่ตรงนี้รอพี่ชุ่ยเหมยก็แล้วกันนะ” โม่ชิงเยว่พูดพลางค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น แล้วเกาะผนังเดินไปนั่งบนเก้าอี้ สายลมอันเหน็บหนาวที่พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างทำให้นางต้องสั่นสะท้านออกมาเมื่อร่างกายปะทะเข้ากับความหนาวเย็น ซ่งจื่อเหยารีบขยับตัวแล้วเดินมาดึงหน้าต่างปิดให้สนิท ส่วนซ่งจื่อเยว่กำลังลากผ้าห่มที่ทั้งหนาและหนักมาหานาง ซ่งจื่อเหยาปิดหน้าต่างจนสนิทดีแล้วนางก็ไปช่วยน้องชายฝาแฝดของนางลากผ้าห่มที่ทั้งหนาและหนักมาห่มให้มารดาของพวกเขา
“ขอบใจมาก พวกเจ้าช่างดีจริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้เด็กทั้งสองก็ต่างยิ้มออกมา แม้ว่าจะเป็นเด็กฝาแฝดชายหญิง แต่ใบหน้าน้อยๆ ของคนทั้งคู่แทบจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดวงตากลมโต จมูกโด่งได้รูป เรียวปากเล็กและเรียวบาง โครงหน้านี้ไม่ใช่ของนางแต่กลับถอดแบบมาจากพ่อของพวกเขามาทุกกระเบียดนิ้ว
นิ่งอันโหว ซ่งเหวินจิ้งคือแม่ทัพแดนใต้ที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการประทานสมรสให้ ตอนที่ได้รับราชโองการโม่ชิงเยว่ที่พึ่งจะสูญเสียบิดาจิตใจยังเคว้งคว้างก็พลันคิดว่าตนเองกำลังจะมีที่พึ่งพาแล้ว แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือในวันที่นางแต่งงานทางจวนสกุลซ่งก็แต่งอนุเข้ามาในวันเดียวกัน สามียังไม่ทันได้ร่วมหอก็ถูกตามไปที่เรือนฝูโซ่วแล้วก็ไม่ได้กลับมาทั้งคืน พอเช้าวันรุ่งขึ้นยามที่นางไปคารวะน้ำชาแม่สามี จึงได้รู้ว่าคืนนั้นสามีของนางไม่ได้อยู่ที่เรือนฝูโซ่วอย่างที่นางเข้าใจ แต่กลับไปอยู่กับอี๋เหนียงสกุลสุ่ยที่เรือนของนาง แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดใจมากเพียงใดแต่โม่ชิงเยว่ก็จำต้องพยายามกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้
“พี่หญิงอี้โหรวช่างดีนักไม่คำนึงว่าเป็นวันมงคลของตนเอง มาเฝ้าดูแลท่านแม่เป็นอย่างดีพี่ใหญ่เห็นใจในความกตัญญูของนางจึงอาสาไปส่งที่เรือน แล้วหลังจากนั้น... ท่านก็คิดเอาเองก็แล้วกัน” นี่คือคำพูดของซ่งเหวินหนิง น้องสาวของสามีที่นางพึ่งได้พบหน้า ตอนนั้นนางจึงพึ่งจะรู้ว่าอี๋เหนียงสกุลสุ่ยแท้จริงแล้วคือเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของสามี เพราะราชโองการฉบับนั้นทำให้แผนการที่ทั้งสองจวนวางแผนเอาไว้ต้องสั่นคลอนแล้วผลสุดท้ายสุ่ยอี้โหรวก็ต้องลดฐานะของตนเองแต่งเข้ามาเป็นอนุ
ในเมื่อตนเองคือคนที่เข้ามาแทรกระหว่างกลางและทำลายวาสนาของผู้อื่นโม่ชิงเยว่จึงไม่คิดจะแย่งชิงความสนใจกับผู้อื่น นางก็อยู่ของนาง ส่วนสุ่ยอี้โหรวก็อยู่ในที่ของนาง เพียงแต่ความรังเกียจที่แม่สามีมอบให้มานางจะทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ ในเมื่อนางต้องอาศัยอยู่ภายใต้จวนแห่งนี้ เพียงแต่ยิ่งเอาอกเอาใจนางก็ยิ่งถูกตั้งแง่รังเกียจ ยิ่งมีคนคอยเปรียบเทียบนางก็ยิ่งดูย่ำแย่ในสายตาของคนทั้งจวน ส่วนสามีของนางน่ะหรือน้อยครั้งนักที่จะได้อยู่ร่วมกัน ถ้าไม่ใช่เพราะนางคือฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของเขา นางคิดว่าเขาคงจะไม่มีวันย่างกรายเข้าไปในเรือนของนางแน่
โม่เหิงผู้เป็นบิดาของนางคือแม่ทัพใหญ่ทิศอุดร พอเขาล้มป่วยและตายจากไปกองทัพของเขาก็ไร้คนคอยควบคุม นิ่งอันโหวในฐานะที่เป็นบุตรเขยจึงเหมาะสมที่สุดที่จะเข้าไปดูแลจัดการความเรียบร้อยในกองทัพ นี่คือเหตุผลหลักที่ฝ่าบาททรงมีราชโองการพระราชทานการสมรสในครั้งนี้ นางที่เป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งในกระดานหมากแห่งอำนาจของบุรุษจะสามารถโต้แย้งสิ่งใดได้ ทำได้แค่เพียงใช้ชีวิตเป็นฮูหยินจวนโหวที่สามีไม่โปรดปราน แม่สามีรังเกียจ มีน้องสาวของสามีคอยพูดจาทำร้ายจิตใจ อีกทั้งยังมีอนุหน้าตางดงามมาคอยแย่งชิงความโปรดปรานจากสามี โม่ชิงเยว่จึงอาศัยอยู่จวนโหวแห่งนี้อย่างยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
ยิ่งพอสามีนำทัพไปออกรบชีวิตของนางก็ยิ่งย่ำแย่ หนำซ้ำยังตั้งครรภ์ตอนที่สามีไม่อยู่แน่นอนว่าย่อมจะต้องเกิดคำครหา แม่สามีที่เดิมทีคิดจะหาเรื่องนางอยู่แล้วย่อมจะต้องใช้เรื่องนี้โยนบาปมาใส่ศีรษะนางและลูกที่ยังไม่เกิด แม้ว่านางจะบอกแล้วว่าเด็กในครรภ์ของนางได้มาจากตอนก่อนที่สามีจะออกรบก็หามีใครเชื่อนางไม่ นางจึงถูกส่งมาอยู่ในเรือนเหมันต์ที่ทั้งเหน็บหนาวและห่างไกล
ทางเรือนใหญ่ตัดการช่วยเหลือนางทุกทาง มีเพียงชุ่ยเหมยที่ติดตามนางมาเพียงเท่านั้นที่คอยช่วยดูแลนางและลูก เพราะคิดว่ายามที่สามีกลับมานางคงจะหลุดพ้นจากมลทินในครั้งนี้ได้นางจึงสู้อดทนเลี้ยงลูกอย่างยากลำบาก เวลาก็ล่วงเลยมาถึงสองปีแล้วแต่สามีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมายามนี้นางเริ่มคิดได้แล้ว จะทนรอเขาไปอีกทำไมในเมื่อนางเองก็สามารถเลี้ยงดูลูกๆ ได้ เพียงแต่ตอนนี้นางคงต้องรีบดูแลร่างกายของตนเองให้หายดีเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกๆ แล้ว
