ตอนที่ 2-2
พวกนางสองคนพยักหน้า “ก็ตอนที่เดินทางมาถึงจวนสกุลหลวน จู่ๆก็เกิดฝนตก มีสายฟ้าฟาดลงมาใกล้พระวรกายฮองเฮาทำให้ฮองเฮาสลบไป หมอที่มาตรวจดูอาการบอกว่าชีพจรอ่อน จนเมื่อวานชีพจรหยุดเต้นไปจนท่านยายของฮองเฮาเตรียมจะนำไปทำพิธีฝังแต่จู่ๆ ฮองเฮาก็มีชีพจรขึ้นมาทำให้ทุกคนดีใจมากเพคะ”
หลินหลินกัดริมฝีปากแน่น เหตุการณ์ฟ้าผ่าเหมือนกัน ทำให้เกิดความผิดพลาดอะไรบางอย่างแน่ๆ เธอถึงมาอยู่ในร่างของฮองเฮาจางชิงหลิน เมื่อมองตัวเองผ่านกระจกทองแดงก็พบว่ามีใบหน้าเดียวกัน
“มันเป็นไปได้ยังไง ใครส่งฉันมาที่นี่กัน” สองมือจับสองข้างแก้มด้วยความพิศวง พลันความคิดกระหวัดไปถึงดวงตามีอำนาจของซุป’ตาร์ชื่อดัง แต่จะเป็นไปได้หรือนักแสดงสาวคนนั้นเป็นเพียงคนธรรมดาจะส่งเธอย้อนเวลามาได้ยังไง
หลินหลินอยากจะร้องไห้แต่เพราะเสียงฝีเท้าคนที่เดินเข้ามาสมทบในห้องอีก นางจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่
“ชิงหลินฟื้นแล้วหรือหลานรัก”
“อะ เอ่อ เจ้าค่ะ” ในละครนางเอกที่ย้อนยุคมักจะชอบแสดงบทตามน้ำสวมรอยเป็นคนอื่น เพื่อหาข้อมูล เอาละวะวันนี้เล่นเองขอสวมบทนางเอกสักครั้ง
“ยายคิดว่าเจ้าจะไม่รอดแล้ว ยายเสียแม่เจ้าไปแล้วอย่าให้เสียเจ้าไปอีกคนเลย เจ้าต้องเข้มแข็งรู้หรือไม่”
หลินหลินมองหญิงชราที่อายุน่าจะราวหกสิบกว่า อยู่ในชุดยาวสีน้ำเงิน ท่าทางมีเมตตา กุมมือนางไปนั่งที่เก้าอี้ที่ตั้งอยู่กลางห้อง
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ จะรักษาตัวให้ดี”
หลินหลินปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในทันทีว่าการที่นางเป็นฮองเฮาที่ถูกปลด แถมครอบครัวเดิมยังถูกประหารเป็นเรื่องอันตรายที่ใครก็ไม่กล้ารับนางให้มาอาศัยอยู่ได้ การที่ท่านยายของจางชิงหลินให้พำนักแถมยังดูแลอย่างดี เท่ากับจางชิงหลินยังมีครอบครัวฝ่ายมารดาที่มีคุณธรรมอยู่บ้าง
นอกจากจะมีผัวชั่วกับเมียน้อยชั่วแล้ว ก็ยังดีที่มีคนรักนางอย่างจริงใจ
“การที่ข้ามาพักกับท่านยายจะทำให้ท่านเดือดร้อนหรือไม่” หลินหลินถามด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย หากทำให้ครอบครัวของสตรีชราเดือดร้อน เธอก็จะออกไปหาที่พักที่อื่นแล้วค่อยคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไร
เธอควรจะหาทางกลับไปยุคปัจจุบัน แต่จะกลับไปอย่างไร หรือถ้ายังกลับไปไม่ได้แต่ต้องอยู่ต่อที่นี่ เธอจะทำอะไรต่อไป หลินหลินครุ่นคิดแต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอรู้ดีคือความเจ็บปวดที่เกาะกุมในใจจางชิงหลิน ความเจ็บปวดร้าวรานจากการถูกหักหลัง ความอับอายที่จางชิงหลินตัวจริงได้รับทั้งหมด เธอร่วมรับรู้กับเจ้าของร่างราวกับว่าเป็นตัวเธอเองที่ถูกกระทำ
ราวกับว่าเป็นชาติภพของเธอเอง แต่เธอได้มีโอกาสย้อนกลับมาเพื่อแก้แค้นผัวชั่วและตามหาสิ่งที่ขาดหายไป
‘เป็นไปได้ไหมที่คนเราจะย้อนเวลาเพื่อกลับมาแก้ไขบางเรื่อง’
หลวนซูฮวาตบหลังมือหลานสาวเบาๆ “ยายอยู่มาจนอายุปานนี้ไม่เสียดายชีวิตอีกแล้ว ห่วงก็แต่เจ้า ยายยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องเจ้า”
“ขอบคุณท่านยาย” หลินหลินรับรู้ได้ถึงความรักที่หญิงชราคนนี้มีให้ สายใยบางอย่างไม่มีที่มาที่ไปแต่รู้สึกได้ว่าคุ้นเคยก่อเกิดขึ้นเงียบๆ หมือนมีมานานแสนนานแล้ว
“ตอนนี้เจ้ายังป่วยอยู่ พักผ่อนเถอะ ข้างนอกหย่งเล่อเพิ่งจะกลับมาจากชายแดน ยายจะไปดูเขาสักหน่อย”
“หย่งเล่อ ใครหรือเจ้าคะ”
“เจ้าคงจำไม่ได้ เพราะไม่ได้เจอกันเสียนาน หย่งเล่อลูกชายคนโตของท่านลุงหย่งสืออย่างไรเล่า เขาไปรบที่ชายแดนเพิ่งจะกลับมา เขาเอ็นดูเจ้ามาก และเสียใจมากที่เจ้าพบเจอเรื่องร้าย”
หลินหลินส่ายหน้า “ข้าจำไม่ได้ ว่าแต่หล่อไหมเจ้าคะ” หลินหลินเผลอยิ้ม รู้สึกอับอายที่ถามอะไรออกไป พอเห็นสายตาของสตรีชรามองมาด้วยแววตาสงสัยนางจึงส่งยิ้มแห้งๆ “เอ่อ ท่านยายเจ้าคะ ข้าเพิ่งฟื้นเลยพูเลอะเลือน ท่านยายอย่าถือสาข้านะเจ้าคะ วิญาณกับร่างกายของข้าอาจยังไม่รวมตัวกันดี”
สตรีชรายิ้มอ่อนๆ สีหน้าแฝงความเมตตาระคนเอ็นดู “เจ้าป่วยจริงๆด้วย นอนพักเสียเถอะหลานรัก ยายไม่กวนเจ้าแล้ว”
ลับหลังร่างสตรีชรา หลินหลินก็หันหน้าไปทางหญิงรับใช้สองคน สองคนข้างกายนี้ก็เป็นคนที่ดีต่อเจ้าของร่างนี้ไม่แปรเปลี่ยน ไม่ว่าจางชิงหลินประสบเคราะห์กรรมอะไร พวกนางก็ไม่ทอดทิ้ง แถมยังเอาชีวิตเข้าแลกขอร้องให้ปล่อยนายของพวกนางไปในตอนที่ฮ่องเต้โฉดสั่งให้จางชิงหลินคลุมผ้าผืนเดียวไปยืนตากหิมะ นับว่าเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์
ในสถานการณ์ที่น้ำใจเบาบางเช่นกระดาษ แต่ก็ยังคงมีคนที่มีคุณธรรม น้ำมิตรเหลืออยู่ จิตใจที่ห่อเหี่ยวไม่รู้สาเหตุ แม้ไม่ใช่เจ้าของร่างพลันชุ่มชื้นขึ้น
“ลู่เจียว จิวฮุ่ย ท่านยายของข้าชื่อแซ่อะไร”
คำถามของผู้เป็นนายทำให้สองบ่าวมองหน้ากัน แล้วลู่เจียวก็เป็นฝ่ายพูด “คุณหนูคงได้รับบาดเจ็บและเกิดความกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อมจึงจำไม่ได้ใช่ไหมเจ้าคะ”
หลินหลินรีบรับคำ “ใช่ ข้าจำอะไรไม่ค่อยได้ ต่อไปอาจต้องพึ่งพวกเจ้า อย่าเพิ่งรำคาญข้าก็แล้วกัน”
“พวกบ่าวไม่มีทางรำคาญเจ้าค่ะ ท่านยายของท่าน แซ่หลวน ชื่อซูฮวาเจ้าค่ะ จวนนี้เป็นของท่านตาคุณหนู ท่านตาเป็นขุนนางขั้นสี่ในสำนักบัณฑิตแต่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ที่จวนนี้จึงมีแต่ท่านยายพักอยู่ อ้อ ยังมีท่านลุงกับท่านป้าอยู่ด้วยเจ้าค่ะ ท่านลุงของท่านเป็นรองแม่ทัพพายัพเจ้าค่ะ”
หลินหลินพยักหน้า ฟังลู่เจียวกับจิวฮุ่ยสลับกันบอกเล่าเรื่องในครอบครัวฝ่ายมารดาให้ฟัง จนนางเข้าใจทะลุปรุโปร่ง พอฟังทุกอย่างจบนางก็เปิดปากหาว สองบ่าวเห็นดังนั้นก็พากันขอตัวออกไปเพื่อให้นางพักผ่อน หลินหลินเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว จึงลุกขึ้นจากเตียงที่แกล้งหาวนอนเพื่อให้สองบ่าวออกไป หลินหลินลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างขบคิดเรื่องราวต่างๆอยู่เงียบๆ สายลมหิมะกระทบใบหน้าจนหนาวเหน็บ ต่อไปนี้เธอต้องอยู่ในยุคชิงแห่งนี้ ต้องอยู่ไปอีกนานแค่ไหนกัน หลินหลินหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย
“เออ แล้วบทละ กำหนดเดตไลน์ใกล้เข้ามา ยุคราชวงศ์ชิงยังไม่มีไวไฟ แล้วฉันจะทำงานยังไง ไม่มีสัญญาณเน็ตของค่ายโทรศัพท์ไหนส่งสัญญาณข้ามภพได้ซะด้วย ซวยเลยโดนเล่นงานแน่” เรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก พลาดเรื่องอื่นยังพอทน แต่พลาดส่งบทก็เหมือนถูกปลดกลางอากาศ นักเขียนบทสาวกลุ้มจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เช้าวันต่อมา หลินหลินเดินมานั่งกินอาหารเช้ากับครอบครัวสกุลหลวน ประมุขชราของบ้านเห็นหลานรักออกมากินข้าวได้ก็ยิ้มกว้างตรงข้ามกับหลินหลินที่เอาแต่ครุ่นคิดทั้งคืนจนนอนไม่หลับเช้านี้จึงอยู่ในสภาพอิดโรย
“ชิงหลินเจ้าหายแล้วหรือถึงได้ออกมา”
เพราะหลายวันที่ผ่านมา สตรีชราให้บ่าวนำอาหารไปให้หลานสาวในห้อง แต่วันนี้หลินหลินอยากออกมาพบทุกคนจึงบอกบ่าวว่าจะไม่กินอาหารในห้องอีก
หลินหลินค้อมตัวตอบด้วยความนอบน้อม “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ อยากออกมากินอาหารกับท่านยาย แล้วก็อยากคารวะท่านลุงกับท่านป้าด้วย ข้ามาอยู่ที่จวนนานแล้วแต่ยังไม่ได้คารวะท่านลุงท่านป้าเลย” หลินหลินบอกแล้วกวาดตามองคนที่อยู่ตรงโต๊ะอาหารทุกคน
นางมองเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวสีทองแดง ที่จอนผมมีผมสีขาวแซม มองเหมือนคนที่ผ่านการลำบากจากการสู้รบมามาก ข้างๆกันมีสตรีใบหน้าขาวผ่องด้วยความเมตตานั่งอยู่ เมื่อกวาดมองไปอีกก็พบเห็นบุรุษร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาด้วยวัยหนุ่ม มองดูน่าจะราวๆยี่สิบกว่าๆกำลังยิ้มมาให้ หลินหลินเผลอยิ้มตาหวาน
‘แอบฟินเบาๆ’
