8.หนทาง
“สิ่งแรกที่ข้าอยากรู้มากที่สุดคือ..เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรกันจูเน่?”
จาเรดเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาแทบจะคลั่งเมื่อไม่เห็นเธออยู่ที่คฤหาสน์อย่างที่ควรจะเป็น จาเรดคิดเอาไว้ว่ามันแปลกๆ ที่ทหารของเดม่อนอยู่ๆ ก็ยินยอมถอยทัพไปเองน่ะ
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ เรื่องนั้นข้าไม่ได้ถูกบังคับมาที่นี่ ข้ามาที่นี่ด้วยความสมัครใจค่ะ ข้าไม่อยากให้เกิดการรบกันอีก ทหารจำนวนมากต้องบาดเจ็บและล้มตายเพราะความกระหายอำนาจของขุนพล เรื่องเช่นนั้นมันไม่ควรเกิดขึ้นมาอยู่แล้ว”
ไม่ว่าจะมองทางไหนมันก็แปลก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพบเจอจูเน่มาก่อน สักหน่อย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสตรีที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามเขาอยู่นี้ ราวกับไม่ใช่จูเน่คนเดิมคนที่เขารู้จัก
“ท่านจาเรด ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรจะกล่าวเรื่องความเปลี่ยนไปของน้องสาวท่านหรือไม่..ขนาดข้ายังมองออกเลยว่านี่ไม่ท่านหญิงจูเน่ที่ข้ารู้จักอย่างแน่นอน..ข้าคิดว่าท่านควรจะอธิบายมา”
จูเน่เลือกที่เงียบในคำถามนั้นของเดม่อน เขาเองก็คงจะจับสังเกตได้แล้วอย่างนั้นสินะว่าจูเน่นั้นแปลกไปน่ะ
“ข้าไม่คิดว่ามันคือการจำเป็นที่จะต้องบอกเล่าเรื่องภายในให้คนนอกอย่างเจ้าฟังหรอกนะ”
เดม่อนกอดอก เขาปรายสายตาไปมองหน้าของจูเน่สลับกับใบหน้าของจาเรด
“ข้าถาม..เพราะข้าอยากรู้ หากว่าท่านไม่อยากตอบเช่นนั้นเห็นทีว่าท่านจะออกไปจากกองทัพของข้าอย่างยากเย็นซะแล้วละสิ อยากถูกฝังอยู่ที่หลังคฤหาสน์ของข้ารึไง”
จูเน่รีบลุกขึ้นในทันที
“ข้าประสบอุบัติเหตุค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าตกจากหลังม้า แล้วศีรษะเกิดไปกระแทกก้อนหินเข้า..”
นี่คือหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะคิดได้แล้วในยามนี้ เพราะจาเรดและเดม่อนนั้นพร้อมที่จะชักดาบแล้วต่อสู้กันตลอดเวลา มันราวกับความโกรธเกรี้ยวของพวกเขานั้นมันสามารถปะทุขึ้นมาได้ง่ายๆ เลย
“และนั่นทำให้ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่จำท่านพี่จาเรดไม่ได้แต่เรื่องการต่อสู้การแย่งชิงอำนาจ..ข้าล้วนแล้วแต่จำไม่ได้ทั้งนั้น”
เธอคงเป็นผู้เล่นที่ซวยสะบัดเลย เพราะเธอไม่รู้เนื้อเรื่องมาก่อนเหมือนกับนางเอกในนิยายที่เคยอ่าน แถมยังไม่มีหน้าต่างของระบบเด้งออกมาเลยด้วยซ้ำ
เธอเองก็ไม่แน่ใจว่านี่มันคือบั๊คของระบบหรือว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ๆ มันไม่สนุกเลยสักนิดเดียว เธอเองก็อยากรู้เนื้อเรื่องหลักบ้าง เพื่อเอาไว้รับมือกับตัวละครที่เรื่องมากอย่างพวกเขา
“....ให้ตายสินี่เรื่องจริงงั้นหรือ”
เดม่อนยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้วเบาๆ และท่าทางของเขามันไม่แตกต่างอะไรกับท่าทางของจาเรดเลย
วีรสตรีหญิงผู้เก่งกาจเรื่องการต่อสู้ ในยามนี้ดูเหมือนกับสตรีอ่อนแอที่กำลังหวาดกลัวแม้กระทั่งในยามที่ฟ้าร้อง
ทว่าจูเน่ที่เป็นเช่นนี้ก็ดูงดงามและน่าถนุถนอมไม่หยอกเหมือนกันแฮะ..ในความคิดของเดม่อนแล้ว ไหนๆ ดาบที่เขาอยากได้ก็หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเธอ เช่นนั้นหากอยากครอบครองดาบ ก็ต้องครอบครองเธอด้วย..
อีกทั้งเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้ หากว่าเขาแต่งงานกับเธอ..นอกจากสงครามจะสงบลง เขายังได้อำนาจและบารมีที่ท่านหญิงจูเน่มีอีกต่างหาก เขาจะยึดถือตำแหน่งซอร์ทมาสเตอร์มาถือครองเอาไว้ โดยให้เหตุผลว่าจูเน่อยากจะวางมือเพื่อมีทายาท..
หากเรื่องมันเป็นเช่นนั้นใครเล่าจะแข็งแกร่งมากที่สุดในจักรวรรดิ หากไม่ใช่เขาน่ะ
“ข้าคิดว่าเราควรจะกลับกันแล้วนะจูเน่”
เมื่อจาเรดกล่าวจบเขาก็เดินเข้ามาหาน้องสาว แต่ทว่าเดม่อนกลับเดินมาขวาง
“นี่..ข้ามีข้อเสนอที่ดีที่เราไม่ต้องหยิบดาบขึ้นมาเพื่อรบราฆ่าฟันอีกแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้าทั้งสองสนใจหรือไม่”
ไอ้สนใจมันก็สนใจอยู่แต่ใบหน้าเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มเช่นนั้นของเดม่อนมันกำลังกล่าวห้ามไม่ให้เขาเชื่อใจหมอนี่นะสิ
“ข้อเสนอที่ว่าคงไม่ใช่ให้เจ้าแต่งงาน กับจูเน่หรอกละมั้ง”
จาเรดกล่าวพร้อมกับแค่นหัวเราะออกมาและนั่นทำให้เดม่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮะ..ฮ่า ก็นั่นมันคือหนทางที่ดีที่สุดไม่ใช่รึไง กองทัพของเจ้าเดิมทีก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร เพราะจูเน่รับคนยากไร้มาเป็นทหาร ไม่ใช่ชายหนุ่มที่เกิดมาเพื่อจับดาบสักหน่อย นางขี้สงสารก็เลยเก็บคนแก่มาชุบเลี้ยง ลองตรองให้ดีเถิดจาเรด หากกองทัพนั้นไม่มีจูเน่คอยจับดาบอยู่แนวหน้า..มันจะเกิดอะไรขึ้น”
พวกเขาสองกำลังเถียงกันเรื่องของเธอ แต่กลับไม่มีสักครั้ง ที่พวกเขาจะหันหน้ามาถามความเห็นของเธอเลยงั้นเรอะ!!
“ข้าไม่อยากแต่งงานค่ะ”
จูเน่ประกาศออกมาพร้อมกับยืนขึ้น
“หากเป็นการแต่งงาน ข้าจะแต่งงานเพราะความรักเท่านั้น จะไม่มีวันแต่งงานเพราะเหตุผลทางการเมืองหรอกค่ะ”
เธอประกาศกร้าว โดยที่สายตาของจูเน่จับจ้องไปที่เดม่อนและจาเรด
“เรื่องของข้าพวกท่านก็ควรให้ข้าตัดสินสิคะ จะมาคิดเองเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
เดม่อนเดินเข้ามาหาจูเน่ก่อนที่เขาจะรวบเธอเข้ามาในอ้อมแขน เขาขบกัดลงไปเบาๆ บนไหล่ของเธอด้วยความรู้สึกโกรธ
“อ๊ะ!! นี่ท่านมากัดข้าทำไมกัน”
เดม่อนหันมองไปทางอื่นด้วยความโกรธ
“เพราะเจ้าปฏิเสธการแต่งงานกับข้า ทั้งๆ ที่คนเช่นข้าไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งงานด้วยซ้ำ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าพูดออกไปด้วยความรู้สึกแบบไหนน่ะ”
แล้วหากเขาไม่พูดออกมา เธอจะรู้เรื่องไหมเล่า
“เรายังไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ แล้วจะแต่งงานกันได้อย่างไรคะ ข้าไม่ทราบเลยว่าท่านชอบกินอะไร และท่านก็ไม่ทราบด้วยว่าข้าไม่ชอบกินอะไร เราไม่รู้เรื่องของกันและกันเลย แล้วหลังจากการแต่งงานข้าจะใช้ชีวิตแบบไหนกันคะ คงต้องถูกกดข่มเหงอยู่ภายใต้อำนาจของท่านตลอดชีวิตแน่ๆ ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะคะ ชีวิตแบบนั้นน่ะ”
จาเรดมองน้องสาวของเขาก่อนที่เขาจะจุดยิ้มขึ้นมาที่มุมปากด้วยความพึงพอใจ ถึงแม้ว่าจูเน่จะมีนิสัยที่เปลี่ยนไป แต่ทว่าเรื่องเหตุผลที่นางหยิบยกขึ้นมานั้นมันฟังดูดีมากๆ เลยล่ะ
หากนางไม่อยากแต่ง เช่นนั้นเขานี่แหละที่จะอยู่กองหน้า จับดาบเพื่อฟาดฟันศัตรูแทนนางเอง เขามีชีวิตเพื่อแบบนั้นอยู่แล้ว เพื่อปกป้องนางเอาไว้ และเพื่อให้รอยยิ้มนั้นคงอยู่ตลอดไป
“นี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่รึไง จูเน่..หากไม่รู้จักกันเช่นนั้นเจ้าก็มาทำความรู้จักกับข้าซะสิ ไม่รู้ล่ะนี่คือการให้โอกาสครั้งสุดท้าย เรามาทำความรู้จักกันแล้วหากว่าเจ้าไม่ชอบข้าจริงๆ เราค่อย..คุยกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไร เจ้าเองก็ต้องการยุติสงครามนี้ไม่ใช่รึไงนี่คือหนทางแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด”
มันจะมีอะไรผิดพลาดมากไปกว่าการที่เจ้าอยากได้อำนาจของจูเน่อีกงั้นเรอะ!! จาเรดทำได้เพียงแค่คิดในใจเท่านั้น เขาไม่อยากจะสร้างความบาดหมางให้มันเกิดขึ้นมามากกว่าเดิม
