ตอนที่ 7 อยากไปเที่ยวกรุงเทพฯ บ่?
ชายหนุ่มผู้รับประทานอาหารจนอิ่มหนำ นอนแผ่หลาไปกับพื้นกระท่อมเล็กๆ ที่มีเพียงหลังคามุงหญ้าและพื้นฟากเก่าๆ ไม่มีผนัง ที่ตั้งอยู่กลางไร่ข้าวโพด ในเนื้อที่ 4 ไร่
แดดร้อนจัดในยามบ่าย กับลมเอื่อยเบาๆ ทำให้เขาเหงื่อออกมาก
ไหนจะฤทธิ์เผ็ดของน้ำแกงที่ทำเอาปากแดง หูแดง ขับเหงื่อหอมๆ ของเขาออกมาจนเต็มเสื้อปุ๋ยสีดำ ที่คำหล้าให้ยืมใส่มาตั้งแต่เช้า
"เอานี่ไป จะได้หายเผ็ด" คำหล้าส่ายหน้าให้เขาเชิงเอ็นดูแกมสงสาร จึงพูดภาษาไทยกับเขาด้วยน้ำเสียงปกติ
ปุณณ์ชะเง้อคอขึ้นมามองของในมือเธอ พร้อมลุกขึ้นมา
"อะไรอ่ะ?" เขาแบมือรับผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดง ส้ม เขียวอ่อนและเขียวเข้มด้วยรอยย่นกลางหัวคิ้ว
มันเหมือนเป็นผลไม้ชนิดเดียวกันแต่หลายสี
"เคยกินเปล่า?" เธอว่าพร้อมโยนปากตัวเองแบบชำนาญ เคี้ยวกรุบๆ จนเขาทำตาโตเชิงทึ่ง
"นี่มีอะไรให้ว้าวอีกแล้วเหรอเนี่ย" เขาว่าพร้อมเอาลูกสีแดงๆ เข้าปากแล้วเคี้ยวดู ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคือลูกอะไรนั่นแหละ
"อื้อ ก็หวานดีนะ..." แล้วลูกอื่นๆ ก็ตามไป ความหวานแม้จะไม่มากของมัน ทำให้เขาสดชื่นและหายเผ็ดได้เร็วกว่าการอมน้ำแข็ง
"มันชื่อตะขบ ลูกตะขบ...ผลไม้โปรดของหล้าเลย" เมื่อเริ่มคุ้นกับเขามากขึ้น คำหล้าก็แทนตัวเองว่า 'หล้า' ซึ่งทำให้ปุณณ์ยิ่งรู้สึกชอบใจ ที่เธอเปิดใจให้ตัวเอง
"ไม่เคยทานมาก่อนเลย อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย"
"คนบ้านนอกกะอย่างนี้แหละ การกินอยู่กะง่ายๆ ของใกล้มือ ใกล้โต บ่ต้องไปซื้อของแพงๆ มาถมใส่เจ้าของ" เธอกลับไปพูดอีสานอย่างแสดงความจริงใจ
คำหล้าไม่ชอบเวลาที่บิดามารดาส่งของแพงๆ มาให้และคาดหวังว่าอยากจะให้เธอใช้ของพวกนั้น
แล้วเรียกการทำแบบนั้นของตัวเองว่า... "เลี้ยงลูกให้มีคุณภาพ"
ไม่มีคุณภาพตั้งแต่ที่พวกเขาเลือกให้เงิน มากกว่าความอบอุ่นทางใจแล้ว
"ไม่ค่อยชอบของแพงเหรอ?" ปุณณ์จับสังเกตได้ว่า คำพูดของเธอมีอารมณ์ร่วมอย่างมาก เหมือนมีอคติแต่เขาก็ไม่อยากรีบตัดสินหรือว่ามองข้าม
"แม่น ของแพงก็ดีแต่แพงล่ะ...ใช้สนองภายนอกของคนขี้อวด บ่แม่นคุณค่าที่แท้จริง"
"มันก็ไม่เสมอไปหรอกมั้ง" ปุณณ์อยากจะให้เธอได้เห็นมุมอื่นบ้าง ไม่ใช่เห็นแต่มุมของตัวเอง ก็เลยกล้าที่จะแย้ง
"คนอย่างอ้าย คงสิใช้ของแพงจนเบิ่ดโตเนาะ กะต้องบ่เชื่อคำเว้าหล้าอยู่แล้ว"
"บ่แม่นจั่งซั่นดอก ว่าแต่...โตอยากเรียนต่อบ่ จบมอหกแล้วอยากเข้าคณะอะไร" เขาพยายามพูดอีสานกับเธอ เพราะคิดว่าเวลานี้คงยังไม่เหมาะที่จะอธิบายความเข้าใจและความเชื่อที่ฝังมานาน การศึกษาอาจจะช่วยให้เธอได้รู้ว่า แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นทั้งหมด
“อยากเรียนเกษตรศาสตร์ อยากมาพัฒนาไร่นาของตายาย ไม่อยากเป็นเหมือนพ่อแม่...” เขาพนักหน้ารับฟังอย่างไม่ตัดสิน สิ่งที่เธอพูดมาทำให้เขาเข้าใจแล้ว ว่าเรื่องราวในแววตาของเธอคือเรื่องอะไร
“อยากไปเรียนที่ไหน” เขาไม่ก้าวก่ายเรื่องครอบครัว แต่สนใจเรื่องการศึกษาของเธอมากกว่า
“จริงๆ เล็งไว้อยู่ที่หนึ่ง ภาคอีสานนี่แหละ อยากเรียนใกล้ๆ อ่ะ...แต่เขาก็มอดังอ่ะ คงยาก แต่ก็เลือกๆ ไว้ 4 ที่...ตามที่เขาให้เลือกแหละ” เมื่อต้องพูดเรื่องจริงจัง คำหล้าก็ไม่มีหลุดอีสานออกมาแม้สักคำ
คนอื่นอาจจะไทยคำอังกฤษคำ แต่เธอไทยคำ...อีสานคำ
“มีกรุงเทพฯ ป่ะ” เขาถามด้วยแววตาเป็นประกายขึ้นเล็กๆ แต่เธอไม่ได้สังเกตเห็น
“กรุงเทพฯ นี่ไม่อยากไปเลยอ่ะ ชีวิตนี้ขอไม่ไปกรุงเทพฯ เถอะ” คำหล้าว่าพร้อมเอามือยกท่วมหัว จนปุณณ์ใจแทบร่วง
“ขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมอ่ะ” เธอขยับขึ้นมานั่งข้างๆ เขาทอดสายตามองไปยังป่าข้าวโพกเขียวขจีที่มีหญ้าขึ้นตามดิน วันนี้เธอจะมาดายหญ้าหลังจากใส่ปุ๋ยเสร็จไปเมื่อวาน
ปุณณ์ก็เลยอาสามาช่วยอย่างแข็งขัน แม้จะไม่เคยทำเลยสักอย่างก็ตาม!
“ไม่ชอบผู้คน ไม่ชอบบรรยากาศ ไม่ชอบตึกสูงๆ ไม่ชอบคนไม่มีน้ำใจ” คำตอบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และมองกรุงเทพมหานครในแง่ร้าย ทำให้ปุณณ์ไม่ด่วนที่จะไปต่อต้านหรืออธิบาย
“ไหนว่าไม่เคยไป ทำไมถึงคิดว่ากรุงเทพเป็นแบบนั้นอ่ะ” แต่เลือกที่จะให้เธอได้พูดในมุมตัวเองให้มากที่สุดดีกว่า
“แหม ก็มีทีวีดูป่ะ ในเน็ตก็เยอะแยะ...หรือว่าคนกรุงเทพอย่างอ้ายจะเถียง?” เขายิ้มบางๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่เถียงหรอก แต่แค่จะบอกว่า...มันก็ไม่เสมอไป ทุกที่ก็มีคนดีคนชั่วปกติอ่ะ บรรยากาศก็อาจจะไม่เท่าชนบท แต่ก็มีความสวยที่ต่างออกไป คนไม่มีน้ำใจก็ใช่ว่าจะทุกคน” เขาอธิบายอย่างอ่อนโยน เข้าใจและอยากให้เธอเปิดใจมากกว่า แต่ก็ติดเล่นๆ ตามสไตล์
ทำให้เธอเบ้ปากใส่ ไม่อยากจะเชื่อคนอย่างเขา
“จั่งไสกะส่างเถาะ ยังไงก็บ่มีวันไปอยู่กรุงเทพแน่ๆ บ่เลือกแน่นอน” อีสานทั้งประโยคของเธอ ได้กลับมาปรากฏอีกครั้ง
ราวกับเธอได้ปิดประตูปัง! ใส่หน้าเขา...
“ไม่แน่นะ ถ้าได้ไปเที่ยวกรุงเทพ อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้...อยากไปไหม เดี๋ยวอ้ายพาทัวร์” เธอรีบส่ายหัวให้เขาสุดฤทธิ์ ไม่มีวันซะหรอกที่เธอจะไปใช้ชีวิตคนเมือง ถึงจะไม่เคยไป แต่เธอก็รู้ว่ามันไม่ดีเท่าบ้านเรา
แม้ว่ามหาวิทยาลัยที่เธอเลือกจะอยู่ในภาคอีสาน ก็เป็นอีสานในเมืองแหละ แต่ก็ทำให้เธอกลับบ้านได้ง่ายขึ้น
“บ่มีทาง บ๊าย บายก่อนโลด บ่ไปแน่นอนจ้า”
แล้วปุณณ์ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรเธอต่อ ไปช่วยคำหล้าดายหญ้าในพงป่าข้าวโพด แม้จะต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะใบของข้าวโพดสร้างความระคายเคืองและบาดผิวของเขาได้
กว่าจะเสร็จก็เป็นเวลาที่ตะวันเริ่มคล้อย...
กลิ่นใบข้าวโพดหอมเคล้ากับสายลมตกยามเย็น ทำให้เขาสดชื่น...เหนือคำบรรยาย
พระอาทิตย์สีส้มกลมใหญ่ที่กำลังหล่นร่วงไปตามไหล่เขาไกลลิบ ทำให้เขาเอนหัวใจลงไปด้วย
"สวยดีเนอะ" ปุณณ์หันไปมองคนที่มองไปยังเบื้องหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน อย่างรู้สึกค้นคว้า
แววตาของคำหล้าตอนนี้ บ่งบอกชัดเจนว่า เธอชอบที่นี่มากแค่ไหน
"ฮู้บ่ ว่าหล้า...มักเบิ่งพระอาทิตย์ตกดินที่สุด มันงาม มันเฮ็ดใจที่ฮ้อนฮนมาเบิ่ดมื้อ เย็นลง...คือจั่งพระอาทิตย์ที่เซาฮ้อนเลย" เขายิ้มออกมา ชอบความช่างเปรียบเปรยของเธอ
"มันก็จริงนะ..." ความร้อนรน ไม่ว่าจะจากกายหรือใจ ก็เบาลงได้ เมื่อตะวันเริ่มลับขอบฟ้า
บทสนทนาท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก ถูกแอบบันทึกโดยโดรนสอดแนมขนาดเล็กเท่าแมลงป่อง โดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่า ภาพเคลื่อนไหวไร้เสียงของตัวเองได้ไปโผล่ที่หน้าจอของผู้กำกับมากความสามารถอย่างเอกเป็นที่เรียบร้อย!
