ตอนที่ 4 อ้ายใส่เสื้อปุ๋ย...ของโตเด้อหล้า
คำหล้าและปุณณ์เดินมาพร้อมกับลูกอ๊อดหม้อใหญ่ ท่ามกลางเสียงร้อง “ว้าว” เชิงประหลาดใจของพวกทีมงาน
"โห้ ไอ้ปุณ มึงนี่ไม่ธรรมดาว่ะ ได้วิชาติดตัวกลับบ้านเพิ่มเลย" เพียวว่าพร้อมตบไหล่เปียกๆ ของเพื่อน เสื้อปุ๋ยสีชมพูตอนนี้เลอะไปด้วยโคลน แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ปุณณ์ดูสกปรกขึ้นได้
ผิวขาวสว่างของเขาก็ยังคงขาว...ทะลุโคลน
"อ้ายเอก คัวปลาแล้วแล้วบ่ ช้าแท้น้อ บ่ทันกินทันอยากเบิ่งแล้วมื้อนี่" คำหล้าก็คือคำหล้าเธอเดินไปดูสภาพของปลาที่ถูกชำแหละและบ่นอีกยืดยาว เพราะสุกิตและทีมงานไทบ้านทำไม่ถูกใจตัวเอง
"เอ้อน่า โตไปล้างเนื้อล้างโตให้สะอาดเถาะ อ้ายจัดการเอง กลับมาสิได้มาต้มให้หมู่อ้ายกิน คำหล้ามันทำอาหารอร่อยนะ ปุณรอชิมได้เลย" ว่าพร้อมดันหลังคำหล้าให้ไปล้างตัวที่ห้องน้ำด้านหลังและบอกปุณณ์ด้วยความจริง
"จริงเหรอครับ อยากทานเลย รีบไปล้างตัวเถอะคำหล้า" ปุณณ์ยิ้มสว่างจ้า แววตาของเขาบ่งบอกทุกอย่างจนเอกสะดุดเข้าที่ใจ
แปลกๆ แล้วเด้องานนี้
"อย่ามาบอกแต่ข้อย เจ้าเองกะต้องไปล้างคือกัน เสื้อข้อยเปื้อนแฮง ดำเบิดแล้ว เบิ่งดู๋ คนอีหยังยืมของคนอื่นแล้ว ยังบ่ระวังอีก" ปุณณ์หัวเราะให้กับคำบ่นยาวเหยียดของเธอและเดินตามไปแต่โดยดี
ปล่อยให้เอกมองตามด้วยสายตาคิดหนัก...
สำหรับเขาลูกพี่ลูกน้องอย่างคำหล้ายังเด็กเกินไป แม้ความคิดและหน้าตาจะโตกว่าวัยไปสักระยะแล้วก็ตาม
"ข้อยว่า...บ่ธรรมดาล่ะเด้อหลาย" สุกิตเดินมากระซิบเชิงชอบใจ
"ธรรมดาอีหยัง ไปๆ ไปคัวปลาให้แล้ว คัวฮวกพร้อม มันมามันด่าหัวเอาเด้อ" แต่ถึงอย่างนั้น เอกก็ไม่ได้พูดความคิดของตัวเองให้ใครฟัง เพราะมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิดก็ได้
ผู้ชายเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและชื่อเสียงอย่างปุณณ์ คงไม่ทำอะไรที่ไม่คำนึงถึงเรื่องรอบตัวหรอก
แต่ถ้าปุณณ์คิดเพียงแต่จะเล่นๆ กับคำหล้าเท่านั้น...เขาไม่ยอมแน่
"โอ่งน้ำอยู่นี่เด้อ ถอดเสื้อผ้า ข้อยสิเอาไปซัก แล้วเจ้ากะล้างโตไปสา" คนซื่ออย่างปุณณ์ทำตามที่เธอบอกอย่างว่าง่าย
แต่มันกลับเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ เมื่อผิวขาวเนียนบนเรือนร่างกำยำ ที่มีกล้ามท้องเรียงตัวกันเป็นลอน รับกับลอนกล้ามแขน แม้จะไม่ได้ใหญ่โต แต่มันลงตัว จนใจหญิงสาวชาวบ้านอย่างเธอเต้นแรง
เหมือนหลุดออกมาจากวิดีโอ
ตั้งแต่เกิดมา เธอเคยเห็นของจริงสภาพนี้ที่ไหนกันล่ะ ถ้าไม่ใช่จากวิดีโอในโซเชียลที่นานๆ จะโผล่เข้าไปดูที
"ถอดแล้วกะเอามานี่" เธอกระชากเสื้อสีชมพูเลอะโคลนจากมือเขา และรีบเดินไปด้านหลังที่มีโซนซักผ้าอยู่ เพื่อให้ตัวเองหนีจากภาพล่อแหลมนี้ให้เร็วที่สุด แต่ปุณณ์กลับเรียกเธอเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว อ้าย...ขอได้บ่ เสื้อโตอ่ะ”
สำเนียงอีสานเก้กังของพระเอก ทำให้เธอขำออกมา
“ถ้าพูดยากมาก ก็พูดไทยก็ได้ อย่าพยายามเลย” เธอเลยพูดไทยกับเขาแทนเป็นครั้งแรก
“อ้าวพูดไทยได้เหรอ อ้ายนึกว่าโต...พูดไทยไม่ได้” เขาพูดไทยตอบเธอ แต่ชอบการเรียกแทนคำว่าอ้ายกับโต เลยเรียกแบบนี้เป็นสำเนียงไทยกลางไปซะเลย
“จะเอาไปทำไมเสื้อตัวนี้ไม่ได้มาง่ายๆ นะ ซื้อปุ๋ยหมดไปหลายหมื่น จะมาขอกันง่ายๆ ได้ไง” เธอว่าเชิงหวง แต่น้ำเสียงไม่ได้เหวี่ยงเหมือนที่ผ่านมา คำหล้าอ่อนโยนกับเขาขึ้นมาก เพราะเห็นว่าปุณณ์เป็นผู้ชายที่ใช้ได้คนหนึ่ง
ขนาดใช้สวิงช้อนลูกอ๊อดเขาไม่เคยทำ แต่ก็ยังตั้งใจทำจนทำได้...มันก็ทำให้เธอปลดล็อคความคิดที่เชื่อว่า
'พวกผู้ดีตีนแดง ทะแคงเท้าเดิน' ไปได้พอสมควร
“อยากได้เป็นที่ระลึกอ่ะ ไหนๆ ก็เปื้อนโคลนแล้ว ลดให้หน่อยได้ไหมล่ะ อ้ายซื้อเอาก็ได้” ดูสายตาของเขาตอนนี้สิ ซื่อใสและจริงใจ จนคำหล้าลืมไปเลยว่าเขากำลังถอดเสื้อโชว์กล้ามหน้าท้องนวลเนียนต่อหน้าตัวเองอยู่
“โห ยิ่งเปื้อนโคลนยิ่งต้องแพงดิ ไม่เคยได้ยินเหรอ ยิ่งเลอะ...ยิ่งเยอะประสบการณ์น่ะ ฮ่าๆ” แต่ก็อดที่จะแซวเขาอย่างสนุกไม่ได้อยู่ดี ผู้ชายอะไรน่ารัก น่าแกล้ง...
หือ เฮากำลังซมว่าเขาน่าฮักตี๊ ?
“อ่ะๆ ก็ได้ หมื่นหนึ่งก็หมื่นหนึ่ง...เดี๋ยวพี่โอนให้ แต่ซักให้สะอาดก่อนนะ” สีหน้าจริงจังของเขา ทำเอาเธอขำมากกว่าเดิม
“ล้างโตแล้วกะไปหาเสื้อใส่ไป แล้วกะไปกินปลาสักสิบโตเด้อ จะได้หายโง่เด้ออ้าย คนกรุงเทพนี่หลอกง่ายอีหลีว่ะ ฮ่าๆ” เธอกลับไปพูดภาษาอีสานเหมือนเดิม เพราะสนุกกับคนน่าแกล้งอย่างเขา
เขาบ่ได้น่าฮัก เขาแค่น่าแกล้งงง
เธอเถียงกับเสียงในหัวตัวเอง ก่อนจะวิ่งหลบไป
“อ้าว ไรของเขาวะ ตกลงไม่ขายแล้วเหรอ?” ปล่อยให้คนหัวนมชมพู ยืนงงพร้อมเกาหัวแกรก แต่สุดท้ายเขาก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา
“คนอะไร ด่าได้น่ารักชิบหาย”
หลังจากนั้นคำหล้าก็กลับมาทำอาหารให้พวกทีมงาน รับประทานอย่างคล่องแคล่ว โดยเอกได้นำเสนอว่าเธอทำอาหารอร่อยมาก ตัวแค่นี้แต่ทำได้ทุกอย่าง เก่งกว่าผู้ใหญ่
พวกเขาขอเก็บภาพและวิดีโอตอนเธอทำอาหาร โดยไม่ให้เห็นหน้า ส่วนปุณณ์นั้นได้เห็นหน้าเธอชัดๆ หลังจากอาบน้ำแล้วก็อดชื่นชมในใจผ่านรอยยิ้ม...ไม่ได้
“พอล้างตัวแล้วก็สวยเหมือนกันนะเนี่ย...ว่าไหมไอ้ปุณ” ส่วนเพียวเพื่อนรักของปุณณ์ เห็นว่าเพื่อนมองแม่สาวน้อยเพลินตา ด้วยแววตาเป็นประกาย ก็อดที่จะแซวไม่ได้
เท่านั้นแหละ พวกผู้ชายก็พากันโห่แซวจนปุณหน้าแดงขึ้นมาจริงๆ ตามประสาคนปิดบังความรู้สึกไม่มิดและเขาก็ไม่คิดที่จะปิดด้วย
เขาเป็นผู้ชายที่มีน้ำใสใจจริงคนหนึ่ง แม้จะขี้อ้อนแต่ไม่มีความเจ้าเล่ห์ ดูอ่อนต่อโลกแต่ลึกซึ้ง
“ปากแบบนี้ ระวังบ่ได้กินข้าวนำหมู่เด้อ” คำหล้ายกสากเข้าใส่เพียวเชิงกลบเกลื่อนความเขิน ไม่กล้าหันไปสบตากับปุณณ์ ที่มีกระแสวับวาวชัด เธอรู้ว่าเขาเป็นคนน่ารัก...ดูจริงใจ แต่เธอก็ไม่อยากจะยุ่งกับพวกผู้ชายให้เสียการเรียน!
“คำหล้ามันสวยจริงนะ แต่โหด บ่มีใครกล้ายุ่งกับมันหรอกในย่านนี้ ถ้าบ่อยากเดือดร้อน อย่าแซวมัน เข้าใจ๊?” เอกรีบว่าเชิงปกป้องลูกพี่ลูกน้อง ด้วยสำเนียงไทยกลางปนอีสาน เพราะรู้ว่าคำหล้าอยากสนใจแค่เรื่องการเรียนแค่ไหน และเขาก็เห็นว่าน้องยังเด็กไปสำหรับเรื่องความรัก
ไม่ได้หวง แต่ห่วงมากกว่า...
“เออ รู้แล้ว แค่แซวๆ เฉยๆ หรอกแหม” เพียวรีบว่า แต่สายตาชัดเจนว่าอยากจะเชียร์คู่นี้แค่ไหน
“มีหยังให้อ้ายช่วยบ่ มาๆ อ้ายช่วย” ปุณณ์แก้สถานการณ์ด้วยการทำให้คำหล้าไว้วางใจตัวเอง มากกว่าไปใส่ใจคำพูดของเพียว
“บอกแล้วให้พูดภาษาไทยก็ได้” เธอรู้สึกขัดหูกับสำเนียงอีสานของเขาจนต้องส่ายหน้า
“เอาน่า ให้อ้ายเขาฝึกแหน่ บ่เสียหายหรอกคำหล้า...” สุกิตผู้รู้สึกชอบเวลาที่สองคนนี้อยู่ด้วยกัน ว่าด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มโต้ตอบแทนปุณณ์ไป
“บักอันนี้แหม ถ้าบ่หยุดกูสิเตะเด้” เอกรีบว่าพร้อมยกเท้าเข้าใส่ เท่านั้นแหละเสียงหัวเราะก็ดังระงมไปทั้งกระท่อม
