ตอนที่ 2 สาวบ้านนอก คอกนา
"คำหล้ามันไปไสของมันวะ?" ทีมงานหนุ่มๆ ราวๆ 7-8 คน มาถึงเถียงนาน้อย ที่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ครบ ใต้ต้นมะม่วงสองสามต้น และมีต้นมะละกอ ผักสวนครัวรายล้อม ดูร่มรื่นน่าอยู่
เปลหนึ่งอัน ผูกเอาไว้ที่ใต้ต้นมะม่วงสองต้น...น่าเอนกาย จนหนึ่งในทีมงานต้องไปหย่อนสะโพกลงนอนให้หายเมื่อยขา
"อ้าย ตรงพุ้นเป็นขี้ตมพอดี น่าสิมีปลาเด้อ้าย" สุกิตว่าพร้อมชี้ไปยังหนองน้ำท้ายนา ใต้ต้นลำไยที่ออกดอกออกช่อเต็มต้น แต่ผลยังไม่เกิด
"เออ แม่น ทำเลกะร่มรื่นดีอยู่ เอาเสื้อปุ๋ยให้ปุณแหน่ กูขอหาคำหล้าก่อน ต้องบอกมัน บ่ซั่นมันสิมาด่าแม่อ้ายทีหลัง"
เอกว่าพร้อมเดินดุ่มๆ นำไปก่อนใคร ตามด้วยทีมงานไทบ้านอีกสองสามคนที่คุ้นเคยพื้นที่เป็นอย่างดี
ส่วนทีมงานตากล้อง ทีมจับภาพและพวกเสื้อผ้าอื่นๆ ก็ได้แต่พากันหาอะไรรองท้องเพราะหิวจากอากาศร้อน คงมีแต่ปุณณ์เท่านั้นที่มองสำรวจเถียงนาน้อยที่แสนจะน่าอยู่ด้วยความรู้สึกทึ่ง
บ้านหลังเล็กๆ แต่ทำให้น่าอยู่ ด้วยกันดูแลให้สะอาด มันทำให้เขารู้สึกชื่นชมเจ้าของมัน ได้อย่างสนิทใจ
"อ้าว เสื้อปุ๋ยเสียไปไสเดี๋ยวนี่" สุกิตว่าเชิงตกใจ เมื่อมาดูกระเป๋าแล้วพบว่า เสื้อแถมปุ๋ยที่เอกสั่งให้เขานำมา หายไป!
"จักแล้วอ้าย บ่ฮู้นำเด้อ" ทีมงานไทบ้านคนหนึ่งว่าพร้อมกระดกขวดน้ำดื่มลงคอ อากาศแม้จะเย็นสบายแต่ชวนคอแห้งเหลือเกิน
"ตายห่าแล้ว อ้ายเอกได้ด่าหัวกูแท้ๆ" แล้วสุกิตก็วิ่งไปรายงานเอกที่เดินไปจนถึงหนองน้ำท้ายนา
"อ้าวคำหล้า! อ้ายตามหาตั้งโดน เฮ็ดหยังอยู่ซั่น" เอกไปเจอคำหล้าที่กำลังงมหาอะไรอยู่ในหนองน้ำ สภาพดูไม่ได้ แม้จะใส่หมวกเอาผ้าคลุมหน้าเอาไว้ แต่คนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างเอก ก็มองออกว่าเป็นใครไม่ได้ นอกจากสาวน้อยจอมแก่น อย่างคำหล้า!
"อ้าว อ้ายเอก มาแต่มื้อได๋ แล้วมาหยังกัน?" คำหล้าว่าเชิงตกใจ มองไปยังทีมงานของเอกที่เดินตามมา บางคนก็พอคุ้นตา บางคนก็ไม่เลย
"มาแต่เมื่อคืนแล้ว อ้ายว่าสิมาถ่ายหนังถ่ายหยังกันนี่ล่ะ โตงมปลาบ่ คือสิได้หลายเนาะ"
"แม่นตั้วระดับนี้แล้ว มืออาชีพ" ทีมงานทุกคนเดินมาหาเอกจนครบทุกคน รวมไปถึงปุณณ์ที่ความขาวออร่า เด่นมาแต่ไกล สุกิตรายงานเรื่องเสื้อปุ๋ยให้เอกฟังอย่างกลัวๆ กล้าๆ ใครก็รู้ว่าเรื่องงาน เอกซีเรียสแค่ไหน
"อ้าว ลืมได้จั่งได๋ สิถ่ายอยู่แล้ว โอ๊ยน้อ" แต่ก็ไม่ได้เป็นดังนั้น เอกดูใจดีกว่าปกติ เขาหันไปมองคำหล้าและพบว่าเสื้อที่เธอใส่อยู่ก็คือเสื้อแถมปุ๋ยสีเหลืองสว่าง แม้ผ้าห่อจะสีดำกับหมวกสีฟ้า แต่ทำให้เธอดูสดใส แม้แววตาจะขุ่นเป็นธรรมชาติ ตามประสาคนที่ไม่อยากพบเจอใคร
"คำหล้า อ้ายรบกวนหยังโตแหน่ได้บ่" เอกว่า...ด้วยสีหน้าที่อ้อนวอนสุดๆ
"รบกวนอีหยัง บ่ได้หรอก มาสร้างความเดือดร้อน มา รบกงรบกวน ไผสิอยากต้อนรับ กลับไปเลย" คำหล้าว่าเชิงกวน แต่น้ำเสียงหนักแน่น จนคนไม่คุ้นเท่าไหร่ พากันหัวหดเป็นแถวๆ ยกเว้นปุณณ์ที่เริ่มสนใจผู้หญิงคนนี้เข้าแล้ว
ตลกดี
"โอ๊ยน้อ กะสิบ่ถามก่อนบ๊อ ว่าอ้ายสิรบกวนเรื่องหยัง" เอกทำเป็นว่า แต่คำหล้าก็หัวเราะใส่เสียงดัง
"อ้าวๆ ว่ามา...ข้อยฟ้าวจับปลา หิวข้าวแล้วแหม"
"อ้าว บ่ทันได้กินข้าวบ่ ยืมเสื้อปุ๋ยแหน่ สีแดง มีบ่"
"โอ๊ยน้อ คักโพด แค่ยืมกะรบกวนแฮงแล้ว นี่อีหยัง...มีเลือกสีพร้อมบ่" เอกหัวเราะกลับทันที ชอบในทีท่าเท้าสะเอวแม้มือจะเปื้อนของคำหล้า เด็กสาวที่โตกว่าไว ทั้งๆ ที่อายุอายนามน่าจะเพียง 18 ปีเท่านั้น
"โอเคๆ อ้ายขอโทษ สีหยังกะได้ เอามาโลดเอ้อ"
"ตากอยู่เถียงนาพู้น ไปเลือกเอา มีแต่สีชมพูนี่ละว้า"
"ได้ๆ ขอบใจหลายๆ เด้อ" แล้วสุกิตก็รีบวิ่งไปเอาเสื้อมาให้เพราะคือความรับผิดชอบของเขา ปุณณ์ที่มองคำหล้าแบบไม่ละสายตา แม้จะไม่เห็นหน้า แต่เห็นแววตาเอาเรื่องของเธอชัด บอกไม่ถูก...เขาละสายตาแทบไม่ได้และอยากจะเห็นหน้าของเธอขึ้นมา
"ปุณๆ เดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อเด้อ จะถ่ายทำกันแถวนี้แหละ เอาแบบธรรมชาติเลยนะ สบายๆ" เอกเดินมากระซิบเขาเป็นการส่วนตัว ซึ่งปุณณ์ก็เข้าใจ ก่อนจะหันไปบอกคำหล้าว่า
"คำหล้า อ้ายรบกวนอีกจักเรื่องได้บ่อีหล้า"
"รบกวนหยังอีก แค่นี้กะหลายละเด๊ะ" ปุณณ์ยิ้มกว้าง แววตาเปล่งประกาย ชอบในความหัวไวของเธอ
"ขอรบกวนให้พระเอกของอ้าย ลงไปงมปลานำโตได้บ่ สิบ่ให้เห็นหน้าโตเลย กับทีมงานลงไปถ่ายนำใกล้ๆ"
"ถ่ายหนังอีหยัง คือมาถ่ายในนา เรื่องแม่ปลาบู่บ่" เธอว่าเชิงขำส่ายหน้า แต่ดูแล้วก็น่าจะอนุญาต วินาทีที่คำหล้ากวาดสายตาไปมองคนที่มากับเอก ลูกพี่ลูกน้องหนุ่มละแวกใกล้เคียง ก็สบตาเข้ากับปุณณ์ที่มองเธออยู่ก่อน
สายตาเป็นมิตรของเขา ผสานกับผิวขาวผ่อง ส่องสว่างสู้แดด โดดเด่นกว่าใคร
ทำให้เธอเดาไม่ยากเลย ว่าพระเอกที่เอก...พูดถึง คือคนไหน
"เออน่า แค่ลงไปจับปลาสื่อๆ ดอก ได้บ่" เอกว่าด้วยน้ำเสียงอ้อนสุดๆ
"เออๆ ได้เบิ่ดล่ะ แต่ฟ้าวๆ เด้อ ข้อยหิวข้าวแล้ว"
"โอเค เสื้อปุ๋ยมายัง ปุณใส่เลยนะแล้วลงไปในโคลน ได้ใช่ไหม?" เอกเข้าไปพูดเป็นการส่วนตัวกับปุณณ์พร้อมบอกว่าคำหล้าเป็นคนแบบนี้แหละ ไม่ต้องไปถือสา ซึ่งปุณณ์ก็รับอย่างแข็งขันว่าตัวเองไม่ได้ถือสาแน่ๆ
"ไหวพี่ สบายมาก" ปุณณ์ตอบรับพร้อมเอาเสื้อปุ๋ยสีชมพูมาสวมใส่ หลังจากถอดเสื้อยืดสีดำของตัวเองออกต่อหน้าทุกคนแบบสบายๆ
แต่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ตากแดดจัดมาแล้วค่อนวัน...ทำให้เขาสะดุดไปเล็กน้อย
เหลือบไปมองแม่สาวน้อยที่โคลนเปื้อนทั้งตัว
ตัวเปื้อนโคลน แต่เสื้อหอมเหมือนกันแฮะ เขาลอบคิดก่อนจะนึกได้ว่า บ้านเรือนของเธอสะอาดตาขนาดนั้น ผู้หญิงคนนี้น่าจะไม่ปล่อยให้เสื้อตัวเองเหม็นได้หรอก
พอใส่เสื้อปุ๋ยเรียบร้อย ปุณณ์ก็เดินดุ่มๆ ลงไปบริเวณโคลนที่มีสาวน้อยกำลังจับปลาอยู่ คำหล้าทำเป็นไม่มองไปยังคนที่เดินลงมา แต่ใจของเธอกลับสั่นไหวเล็กน้อย...
ผู้ชายที่ดูเหมือนผู้ดีตีนแดง แบบที่เธอไม่คิดชอบ กำลังมุ่งหน้าลงสู่โคลน เป็นภาพหายาก...ไม่อยากมองแค่ไหน ก็อดเหลือบไปมองไม่ได้อยู่ดี
“ดีๆ เด้อ อย่ามาล้มหงายท้องให้ส่อยเด้อ” และผู้หญิงปากหมาเป็นสไตล์อย่างเธอ ก็พูดในสิ่งที่ทำเอาคนหัวเราะกันทั้งขอบหนองน้ำ
“เฮ้ย มันใช้ได้ว่ะน้องคำหล้า บ่มีเขินพี่ปุณของเฮาเลย!” สุกิต ผู้ช่วยของเอกว่าเชิงชอบใจ
“โอ๊ย ระดับสาวคำหล้าแล้ว เบิ่ดหมู่บ้านบ่มีไผอยากยุ่งกับน้องมันดอก มันด่าแซ่บ!” เอกว่าพร้อมหัวเราะลั่น รีบดูหน้าจอที่ตัวเองกำลังกำกับซูมไปยังท่าเท้าสะเอวของคำหล้า ที่ชี้หน้ามายังตัวเอง เพราะตอนนี้ทีมงานได้ลงไปพร้อมกับปุณณ์และจับภาพและวิดีโออย่างขมีขมัน
“จริงเหรอ ด่าแซ่บจริงเหรอ” ปุณณ์ถามด้วยรอยยิ้มสดใส ที่ทำให้โคลนสาป มีกลิ่นหอมขึ้นมาได้
“ลองเบิ่งบ่ล่ะ” เธอหันมาถามเขา ทั้งๆ ที่ยังเท้าสะเอวอยู่ สองสายตาประสานกันชัดๆ ครั้งแรก
เธอพูดภาษาอีสานกับเขา โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะฟังออกหรือไม่
ใจของเด็กสาวผู้ไม่เคยหวั่นไหวกับใคร สั่นสะท้านขึ้นมา...
ถ้าไม่มีหมวก ไม่มีผ้าคลุมหน้า ที่เธอซ้อนไว้ในหมวกให้มันพอปกคลุมลงมา เขาคงเห็นสีเลือดฝาดจากผิวสีน้ำผึ้งของเธอได้ไม่ยาก
“เอาดิ อยากรู้ว่าจะสักแค่ไหน” เขายิ้มให้ พร้อมสนใจการจับปลาที่เธอกำลังควานมือลงไปในโคลนตม
“อย่ามาท้าท้ายระบบเด้อ เดี๋ยวสิได้ฮ้องไห้กลับบ้านบ่ถืก”
“ฮ่าๆ เหรอ...ยังไงอ่ะ ลองสักคำซิ”
“โห บ่ต้องห่วงหรอก...ยืนแบบนี้ก็ผิดแล้ว สิจับปลามันต้องตั้งฐานให้มั่นกว่านี้แหน่ สิใช้แค่มือจับบ่ได้ มันต้องมั่นคงเบิ่ดโต มาเฮ็ดส่อหว่อแส่แหว่แบบนี้ ชาตินี้ก็บ่ได้กินดอกปลานั่น ได้โง่ไปเบิ่ดชาติแท้” แล้วคำด่าแบบไฟแล่บก็ถูกพ่นออกมา แบบไม่ได้ประดิษฐ์ แล้วเธอก็จับให้เขาขยับขาออกกว้างกว่าเดิม ย่อตัวลงและใช้อุปกรณ์ในการรองรับปลาที่จะไหลมาตามน้ำ
ในคำด่า ก็มีความจริงจัง...จนปุณณ์มองข้ามเสียงด่าของเธอไป
ความจริงจังของแม่สาวตัวเล็ก มีเสน่ห์ประหลาด มีเสน่ห์จากท่าทาง...น้ำเสียงจริงจัง หาใช่หน้าตาหรือกลิ่นหอมที่เย้ายวนไม่
“ฮ่าๆ เอาแล้วไอ้ปุณ ขึ้นมาก่อนไหม ไหวไหมเพื่อน!” เพียวว่าเชิงชอบใจที่เพื่อนได้โดนสาวด่าครั้งแรก ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ปุณณ์เป็นผู้ชายที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ใครๆ ก็ต้องชอบเขากันทั้งนั้น
แม่สาวน้อยบ้านนาคนนี้...ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นแล้ว!
“เฮ้ย คำหล้า เห็นใจอ้ายปุณเขาแหน่ คนเฮากะต้องมีครั้งแรกเด้ บ่ต้องจริงจังหลายกะได้ แค่ถ่ายสื่อๆ” เอกรีบตะโกนลงมา แต่ก็มีความขำไปด้วย
“ก็เฮ็ดบ่ถืกกะต้องถืกด่าตั้ว สิมาสร้างภาพถ่ายคือว่าเจ้าของจับปลาได้ ทั้งๆ ที่จับบ่ได้จักโต บ่อายติ๊ถามแหน่...ไสกะลงมาเปื้อนโคลนแล้ว สิได้วิชาจับปลากลับบ้านไปทำมาหากินนำบ่ดีบ่?” เธอพูดกับเขาพอให้ได้ยินกันสองคน จนปุณณ์ต้องพยักหน้า แม้ว่าเขาจะฟังไม่ออกทั้งหมด แต่พอจะจับใจความได้
“ดีดิ สอนพี่ได้เต็มที่เลย...พี่อยากกินปลาเยอะๆ อ่ะ จะได้เก่ง ฉลาด เหมือนน้องบ้าง” เขาพูดออกจากใจ แต่ติดเล่นตามสไตล์จนเธอค้อนขวับ
“บ่ต้องมาประชดเลย ลองจับดู...นี่มันหลุดไปแล้ว เร็ว!”
แล้วคนสองคนก็ช่วยกันจับปลาที่ไหลลื่นไปในโคลน เอกเห็นภาพทีเด็ด ก็รีบซูมถ่ายเชิงชอบใจ ปุณณ์ล้มลุกคลุกโคลนจนเสื้อสีชมพูเปื้อนไปหมด ส่วนคำหล้าก็สู้ตาย สนใจแต่ว่าจะต้องจับปลาได้เท่านั้น...แตะต้องเนื้อต้องตัวเขาไปเท่าไหร่ เธอแทบไม่ได้รู้ตัวเลย
“เอาดีๆ นะเว้ยคำหล้า! อย่าจับปลาข่ออ้ายปุณนะโว้ย!” เอกตะโกนตามลงมา ตามด้วยเสียงเชียร์เฮฮา ของพวกที่อยู่บนบก
