5 กลับบ้าน
หลังจากเดินตามเขามาจนแน่ใจแล้วว่าเขาเข้ามานอนห้องเดียวกันกับเธอจริง ๆ แพรลดาก็เริ่มโวยวายตามฉบับลูกคนเดียวที่ถูกเอาใจมาตลอดทันที
“จะทำอะไร ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“นี่! ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึไง” เมื่อเห็นเขาเอาแต่นิ่งร่างเล็ก ๆ ก็เดินดิ่งเข้าไปหาทันที ก่อนจะจับแขนให้เขาหันมาพูดด้วย
“ผมกำลังเก็บเสื้อผ้าให้คุณอยู่ เสื้อผ้าผมก็ด้วย” พริษฐ์อธิบาย พร้อมกับชูชุดสูทที่ตัวเองกำลังเอาใส่ไม้แขวนตัวสุดท้ายขึ้น
“แล้วทำไมคุณต้องเก็บเสื้อผ้า ไหนว่าคุณแต่งงานกับฉันแล้วเราอยู่ด้วยกัน”
“คุณไม่ได้อยู่ห้องนี้ตั้งแต่แรกใช่ไหม คุณถึงพึ่งเอาเสื้อผ้ามาใส่เพิ่มแบบนี้” ฝ่ามือเล็ก ๆ ดันตัวเขาให้ออกห่างทันที เพื่อทำการสำรวจตู้เสื้อผ้าที่เปิดอยู่ออกด้านหน้า และเมื่อเห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าของผู้ชายอยู่เลย เธอก็เริ่มตั้งข้อสงสัยทันที ก่อนจะหันหน้ามาหาเขาแล้วหรี่ตามองอย่างจับผิด ซึ่งการกระทำของเธอมันทำให้คนมองนั้นอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
“ถ้าคุณหมายถึงเรื่องนั้นละก็...” ร่างสูงค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงเมื่อใบหน้าห่างกับเธอไม่ถึงคืบ ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดใบหน้าของคนตัวเล็กเบา ๆ ก่อนที่เขาจะกระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ แล้วผละออก
มือหนาเอื้อมไปจับข้อมือบางอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะออกแรงดึงเบา ๆ ให้เธอเดินตามมา
“มันอยู่ตรงนี้” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเมื่อเดินมาถึงตู้เสื้อผ้าเป้าหมาย
“ที่ผมต้องเก็บเพราะเห็นแม่บ้านใส่เสื้อผ้าของเรารวมกัน ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบให้มีของของคนอื่นอยู่ในตู้เสื้อผ้าของตัวเอง ผมก็เลยจะเก็บออกให้”
“เสื้อผ้าของผู้ชาย...เป็นของคุณจริง ๆ ด้วย” เธอหาได้ฟังสิ่งที่เขาพูดไม่ ทันทีที่เขาเปิดตู้ออกเธอก็ขยับตัวเข้าไปสำรวจเสื้อผ้าในตู้ทันที หันมองเสื้อผ้าสลับกับมองเขาไปมาก็แทบจะต้องหลั่งน้ำตา เมื่อสไตล์การแต่งตัวของเขา หลายครั้งที่เธอเห็นรวมถึงวันนี้ มันเป็นโทนเดียวกันกับเสื้อผ้าในตู้เลย โดยเฉพาะไซต์เสื้อ มองเผิน ๆ โดยไม่ต้องจับเทียบก็รู้ได้เลยว่ามันเป็นของเขา
“ฉันแพ้อีกแล้วสินะ”
“ไม่หรอกคุณไม่ได้แพ้ ผมต่างหากที่แพ้...”
“หืม?” จากที่กำลังก้มหน้าเศร้าเพราะเรื่องมันไม่เป็นอย่างที่คิด กลับต้องเงยขึ้นมามองหน้าเขาในทันที เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“แพ้ให้กับคุณยังไงล่ะ” ว่าจบก็ส่งยิ้มให้ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าที่เธอแสดงออกมา สีหน้าบูดบึ้งที่ดูกี่ทีมันก็น่ารัก น่าเอ็นดูสำหรับเขาเสมอ
“พูดบ้าอะไรของคุณเนี่ย ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว” ว่าจบก็เดินเร็ว ๆ หนีออกไปจากห้องแต่งตัวทันที
“หึ” ด้านชายหนุ่มเขาก็จัดเก็บเสื้อผ้าต่อ หาได้เดินตามคนตัวเล็กไปไม่ แต่เมื่อจัดเก็บเสื้อผ้าเสร็จ เดินกลับออกมาเธอก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว
“อ้าวคุณควิน หาอะไรอยู่หรอคะ” ทันทีที่เดินลงบันไดมา ป้าแม่บ้านคนเก่าคนแก่พ่วงด้วยตำแหน่งแม่นมของภรรยาก็ร้องทักในทันที
“พอดีผมกำลังตามหาแพรอยู่นะคะ ป้าส้มเห็นแพรบ้างรึเปล่า”
“คุณหนูหรอคะ ตอนนี้คงกำลังเดินเล่นอยู่ที่สวนค่ะ แต่เดี๋ยวอีกหน่อยก็คงเข้ามาทานมื้อค่ำแล้ว ป้าว่าคุณควินไปรอที่โต๊ะอาหารดีกว่าค่ะ ป้าก็กำลังเรียกให้เด็กขึ้นไปตามคุณควินอยู่พอดี”
“ครับ”
“ป้าส้มขา วันนี้มีอะไรให้แพรกินบ้างคะ แพรหิ้วหิว ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เที่ยงเลยค่ะ” ชายหนุ่มร่างสูงยังไม่ทันจะหย่อนตัวนั่งลงบนโต๊ะอาหารน้ำเสียงสดใสของใครบางคนก็ดังขึ้นซะก่อน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องตกใจ
“คุณ!”
“ทำไมคุณถึง...” นิ้วเรียวเล็กชี้ไปยังคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารทันที เธออุตส่าห์ไปเดินพักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่สวนอยู่ตั้งนานสองนานเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น กลับต้องมาเจอหน้าหล่อ ๆ ของเขา ไม่สิ หน้าเขาให้ชวนหงุดหงิดอีกจนได้
“มาค่ะคุณหนู เดี๋ยวป้าให้เด็กตักข้าวให้”
“ไม่เป็นไรค่ะป้าส้ม แพรไม่หิวแล้ว”
“อ้าวคุณหนูแต่ว่า...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบแผ่นหลังเล็ก ๆ ของหญิงสาวก็หายออกไปจากห้องอาหารเสียแล้ว ทิ้งให้คนแก่อย่างเธอได้แต่มองหน้ากับชายหนุ่มอย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี
“ไม่เป็นไรครับป้า เก็บเลยก็ได้ครับ” เสียงทุ้มว่าขึ้น หลังจากมองตามคนตัวเล็กจนลับสายตา
“คุณควินไม่ทานหรอคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าแพรไม่ทานผมก็ไม่ทาน ให้เด็กมาเก็บได้เลย”
“มันจะดีหรอคะ”
“ครับ” ว่าจบก็หยัดตัวลุกขึ้นทันที ก่อนจะเดินออกไปจากห้องอาหาร แต่ทางเป้าหมายที่เขาจะไปนั้นไม่ใช่ทางขึ้นบ้านอย่างที่คนตัวเล็กไป แต่เป็นสวนที่เธอเดินจากมาเมื่อครู่
รูปภาพในกระเป๋าสตางค์ถูกหยิบขึ้นมา ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะยกขึ้นน้อย ๆ ภาพเด็กนักเรียน ม.ปลาย หันข้างที่ไว้หน้าม้าโดยผมด้านหลังนั้นถูกรวบตึงด้วยริบบิ้นสีขาว
“สิบปีแล้วสินะ”
“วางไว้ตรงนี้แล้วกัน ส่วนอันนี้วางตรงนี้” ริมฝีปากเล็ก ๆ ขมุบขมิบไปมาระหว่างขนย้ายเสื้อผ้ามาวางพาดไว้บนโซฟาตัวใหญ่ภายในห้องนอน พร้อมกับรอยยิ้มร้ายที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เพราะอะไรที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้น่ะหรอ
“ป้าส้มช่วยให้คนจัดห้องรับแขกให้แพรได้ไหมคะ”
“ทำไมล่ะคะ เพื่อนคุณหนูจะมาหาหรอคะ”
“เปล่าค่ะ แพรจะให้เขานอน”
“เขา?”
“คุณควินของป้าส้มไงคะ”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นป้าคงจัดการให้คุณหนูไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะคะ แพรไม่ได้ขออะไรมากสักหน่อย แพรแค่ขอให้ป้าส้มให้เด็กจัดห้องให้ ปกติตอนยัยแก้วมาป้าส้มก็ให้เด็กจัดห้องให้แพรนี่คะ ทำไมครั้งนี้ถึงไม่ได้”
“คุณหนูคะ คุณควินกับคุณแก้วไม่เหมือนกันนะคะ คุณควินเป็นสามีของคุณหนูนะคะ นอนแยกห้องกันแบบนี้มันไม่ดีนะคะ อีกอย่างคุณท่านก็สั่งห้ามไว้แล้วค่ะว่าห้ามไม่ให้คุณหนูนอนแยกห้องกับคุณควิน ห้ามคุณหนูไปนอนที่อื่น ห้ามใครเปิดห้องเพิ่ม”
“คุณพ่อพูดแบบนั้นหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยถาม ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าน้อย ๆ กลับมา
“งั้นเดี๋ยวแพรจะโทรหาคุณพ่อเองค่ะ” หลังจากพูดคุยกับแม่นมสุดที่รักเสร็จเธอก็ปลีกตัวออกมาคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นพ่อต่อทันที เพราะว่าอย่างไรแล้ว คนที่มีอำนาจสูงสุดในบ้านตอนนี้ก็คือคุณพ่อของเธอ ถึงแม้ว่าพ่อของเธอจะไม่อยู่ที่นี่ก็ตาม แต่แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง เมื่อผู้เป็นพ่อนั้นยื่นคำขาด ให้เธอนอนร่วมห้องกับเขาจนกว่าจะกลับมาจำเขาได้ และจนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอจะดีขึ้น
“คุณพ่อนะคุณพ่อไม่เข้าใจแพรบ้างเลย บอกไปแล้วไงคะว่าไม่รัก ไม่รัก ไม่อยากจำได้ ไม่อยากจดจำ ไม่อยากอยู่ด้วย ก็จะให้แพรอยู่กับเขาอยู่ได้”
“ทำอะไรครับ ทำไมเสื้อผ้าถึงกองเต็มโซฟาเลย”
“คุณ!” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาจากข้างหลังทำให้ใบหน้าสวยหันขวับไปมองทันที ก่อนดวงตากลมจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากคนที่ตัวเองกำลังพูดถึงอยู่
“เข้ามาห้องคนอื่นทำไมไม่รู้จักเคาะประตูก่อน ฉันตกใจนะ”
“ผมขอโทษ มันชินน่ะ” เขาว่าพร้อมกับริมฝีปากหนาที่ยกยิ้มเบา ๆ ดูก็รู้ว่าเขากำลังฝืนยิ้มอยู่
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าเรื่องระหว่างเราเมื่อก่อนมันเป็นยังไงเพราะฉันจำอะไรระหว่างเราไม่ได้เลย เพราะงั้นการที่คุณจะทำอะไรก็ตามช่วยคิดซะว่าเราพึ่งเคยรู้จักกันได้ไหม คิดซะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้จักกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เราอยู่ด้วยกัน...” แววตาแห่งความเจ็บปวดที่เขามองมาทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก จากที่ตั้งใจจะพูดให้เขาเจ็บและถอยห่างไป กลับกลายเป็นว่าเป็นเธอเองที่รู้สึกผิดที่ทำให้เขาเสียใจ
“ได้...ถ้าคุณต้องการแบบนั้น”
“ขอบคุณ...” คำพูดขอบคุณลากยาวก่อนจะมีหางเสียงลงท้ายเพื่อแก้เก้อ เพราะถูกเขามองอยู่
“ค่ะ”
“งั้นคุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ ผมจะไปรอที่ระเบียง”
“อื้ม” จากที่กำลังจะเล่นบทเด็กดื้องอแงใส่เขา อยู่ ๆ ก็พยักหน้าตอบเขาอย่างเรียบง่าย เล่นเอาคนที่ถูกเถียงมาตลอดแปลกใจไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดหรือถามอะไรต่อ ทำเพียงเดินผ่านหน้าเธอเพื่อไปยืนรับลมอยู่ริมระเบียงตามที่พูดก็เท่านั้น
หลังจากปล่อยให้เธออาบน้ำอยู่พักใหญ่ และคิดว่าเธอคงจะอาบน้ำเสร็จแล้ว จากที่ยืนพิงระเบียงล้วงกระเป๋ามองจันทร์อยู่ ก็เดินเข้าห้องมา ก่อนจะพบกับความสงบ และแสดงไฟสลัว ๆ เพราะมีเพียงโคมไฟที่หัวเตียงเท่านั้นที่ถูกเปิดทิ้งไว้ภายในห้องกว้าง
“หึ” ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มทันที เมื่อเห็นคนตัวเล็กนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงกว้าง ดูแม่คุณจะมีความสุขเหลือเกินที่ได้นอน และได้ปล่อยเขาให้ยืนรออยู่ริมระเบียงตั้งนานสองนานแบบนั้น
“ตัวแสบ” เสียงทุ้มว่าขึ้นเบา ๆ ก่อนจะจัดผ้าห่มที่เลิกขึ้นให้เธอ เพราะกลัวว่าเธอจะนอนหนาว แล้วจึงไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ เพื่อที่จะได้เข้านอน แต่ระหว่างที่กำลังล้างหน้า คิ้วเข้มกลับต้องเลิกขึ้น เมื่อเห็นโพสต์อิทติดไว้ที่หน้ากระจก
“หืม” ไม่รอช้า เขารีบดึงมันออกมาอ่านทันที พออ่านจบก็ต้องอมยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง จะไม่ให้ยิ้มได้ยังไงล่ะ ก็ในเมื่อ
“วันนี้คุณหาที่นอนเอาเองนะคะ ฉันอยากนอนบนเตียงคนเดียว ฉันยังไม่พร้อมที่จะนอนร่วมเตียงกันคุณ หวังว่าคุณจะเข้าใจนะคะ อ้อ แล้วก็ เสื้อผ้าที่โซฟาห้ามย้ายออกนะ เพราะฉันยังฟิตติ้งไม่เสร็จ ฉันยังไม่ได้ชุดที่จะใส่ไปทำงานพรุ่งนี้”
ลูกแพร์
“จะให้พี่นอนพื้นสินะ หึ” ว่าจบก็ส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วจึงหันมองคนที่นอนหลับบนเตียงนอนนุ่มคนเดียวอย่างสบายอารมณ์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนพื้นที่มีเพียงผ้าห่มผืนหนาปูรองไว้กับหมอนนุ่ม ๆ หนึ่งใบ ไม่ว่าจะเหตุผลที่ว่าเธอยังไม่พร้อม หรือไม่ว่าเธออยากจะแกล้งเขา เขาก็จะยอมรับมันแต่โดยดี ขอเพียงแค่เธอเปิดใจให้เขาก็พอ
แต่ยังไม่ทันหลับสนิทก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมา เพราะเสียงใส ๆ ของคนที่เขาคิดว่าเธอหลับลึกไปแล้ว
“คุณ” นิ้วเล็ก ๆ จิ้มไปยังเอวสอบของคนตรงหน้าเบา ๆ เมื่อรู้สึกหิวจนปวดท้อง ตลอดเวลาที่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อของเธอมักจะเล่าเรื่องเขาให้ฟังอยู่เสมอ ว่าเขาเก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ ทำอะไรเป็นบ้างนั่นนี่ ถ้าไม่ติดว่าเป็นพ่อลูกกัน เธอคิดว่าเขาเป็นลูกชายคนโปรดของพ่อเธอ เป็นลูกชายสุดที่รัก เป็นลูกชายที่พ่อแสนจะภาคภูมิใจ ในบางครั้งที่พ่อเธอพูดเรื่องเขา เธอแอบคิดว่าเป็นเธอหรือเขากันแน่ที่เป็นลูกพ่อ
“?” คนที่พึ่งล้มตัวลงนอนกับพื้นข้างเตียงหันมองคนตัวเล็กที่กำลังนอนหันทางมองตนอยู่ทันที
“ฉันหิว”
“หืม?”
เห็นเขายังทำหน้างง แสงโคมไฟที่เตียงถูกปรับให้สว่างขึ้นทันที ก่อนจะพูดย้ำอีกครั้ง
“ฉันบอกว่าฉันหิว”
“เวลานี้?” พริษฐ์เบนสายตาไปที่หน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลที่โต๊ะข้างเตียงเล็กน้อย คิ้วเข้มยกขึ้นเป็นเชิงถาม ก่อนจะหันมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้ขยับตัวมาลุกขึ้นนั่งแล้ว
“ใช่ ฉันหิว หิวมาก ๆ ”
“แล้วผมจะต้องทำยังไง”
“ก็ไปทำกับข้าวให้ฉันกินสิ ถามได้” คนที่เริ่มจะโมโหหิวว่าขึ้น
“ไม่ต้องมาทำหน้างงเลย ลุกขึ้นได้แล้ว ฉันหิว”
“ลุกขึ้นมานะ” เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่นั่งทำหน้างง มองเธอด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ยอมลุกขึ้นจากที่นอนสักที เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นมา เพราะตอนนี้ เธอหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวอยู่แล้ว
