3 เชื่อในพรหมลิขิตไหม
“คะ...คุณ!!”
“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรอ” ได้ยินเสียงเล็กแหลมดังร้องตกใจกับการปรากฏตัวของตัวเอง เท้าหนักก็ขยับเข้าไปใกล้ทันที
“ไหนคุณพ่อบอกว่าคุณจะมาตอนเที่ยงไง แล้วทำไมตอนนี้คุณถึง...”
“ผมมีธุระแถวนี้ พอเสร็จธุระผมก็มาหาภรรยา มันแปลกตรงไหน” พริษฐ์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ก่อนจะถือวิสาสะหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงคนพึ่งหายป่วย
“แปลกสิ ทำไมมันจะไม่แปลก”
“?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นทันที เมื่อคนตัวเล็กบอกว่ามันเป็นเรื่องแปลก
“ก็ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ มันเลยเป็นเรื่องแปลก ทำไมคุณถึงเข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ”
“เมื่อเช้าคุณพ่อได้แวะมาหารึเปล่า” เขาไม่ได้ตอบรับในคำพูดของเธอ แต่เขากลับถามเธอกลับแทน
“คุณพ่อก็มาเยี่ยมฉันทุกเช้าอยู่แล้ว”
“แล้วคุณพ่อได้บอกอะไรคุณรึเปล่า”
“บะ บอกหรอก คุณพ่อไม่ได้บอกอะไรทั้งนั้น คุณพ่อบอกแค่ว่าจะมีคนมาเยี่ยมฉันตอนเที่ยง” เสียงหวานตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่ตัวเองสนทนากับผู้เป็นพ่อในตอนเช้า
“หึ” เห็นแบบนั้นพริษฐ์ก็กระตุกยิ้มเบา ๆ ทันที
“หัวเราะอะไรของคุณ”
พริษฐ์เพียงยักไหล่ตอบเท่านั้น ก่อนจะพูดขึ้นเมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“คุณเชื่อในพรหมลิขิตรึเปล่า”
“อะไรของคุณ อยู่ ๆ ก็มาพูดเรื่องพรหมลิขิต ออกไปได้แล้วฉันจะนอน”
“ตอบผมก่อน แล้วผมจะไป”
“ฉันไม่เชื่อ ถ้าพรหมลิขิตมีจริงฉันคงไม่ต้องเป็นโสดมายี่สิบเจ็ดปีแบบนี้”
“โสด?” เสียงเข้มเอ่ยทวนทันที เมื่อได้ยินบางอย่างที่ไม่เข้าหู
“ใช่ โสด ก็ฉันยังไม่แต่งงาน ยังไม่จดทะเบียน ยังไม่มีแฟน แบบนี้ไม่ให้เรียกว่าโสดแล้วคุณจะให้สถานะฉันว่าอะไร”
“ภรรยาของผม...”
“พูดบ้าอะไรของคุณ ถ้าฉันเป็นภรรยาของคุณฉันก็ต้องจำอะไรระหว่างเราได้บ้างสิ” แพรลดารีบพูดสวนขึ้นมาทันที เมื่อพริษฐ์พูดในสิ่งที่เธอไม่อยากยอมรับ เพราะเธอเชื่อมั่นในความจำของตัวเอง ถึงแม้ว่าหมอจะบอกว่าเธออาจมีภาวะสูญเสียความทรงจำชั่วคราวก็ตาม
“แต่นี่ ฉันไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับคุณเลย เหมือนว่าฉันไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนด้วยซ้ำ แล้วจะให้ฉันเชื่อว่าฉันเป็นภรรยาของคุณได้ยังไง”
“คุณจำเรื่องระหว่างเราไม่ได้จริง ๆ สินะ” เสียงทุ้มติดเศร้าน้อย ๆ ว่าขึ้น ก่อนเขาจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“แล้วนี่...มันจะพอยืนยันอะไรได้บ้างรึเปล่า” พริษฐ์เว้นหายใจช่วงหนึ่งพร้อมกับมองจ้องลงไปในดวงตากลมสวยของแพรลดาอย่างสื่อความหมาย แล้วพูดต่อ
“นี่เป็นรูปถ่ายงานแต่งงานของเรา” ว่าพร้อมกับหยิบรูปถ่ายขนาดเล็กในกระเป๋าสตางค์หนังของตัวเองขึ้นมาให้เธอดู ซึ่งหากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีรูปของเธออีกใบที่อยู่ในกระเป๋าเขา และดูเหมือนว่ามันจะเป็นรูปที่เธอถูกแอบถ่ายด้วย หากเธอไม่ได้ตาฝาดไป
“รูปถ่ายงานแต่งงานงั้นหรอ...” ภาพที่เธอใส่ชุดเจ้าสาวสีขาวแสนสวย ที่มือมีช่อดอกไม้ ส่วนเขาใส่ชุดสูทสีดำ มันทำให้คนที่มั่นใจในความคิดตัวเองมาตลอดพูดอะไรไม่ออกทันที
“ส่วนนี่เป็นแหวนแต่งงาน” เมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่มองจ้องรูปที่เขายื่นให้เมื่อครู่ พริษฐ์จึงพูดเสริมทันที เรื่องบางเรื่องหากปล่อยไว้นานมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก และในตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีเลยทีเดียวที่จะทำให้เธอยอมรับในสิ่งที่เขาพูด
“แหวนแต่งงานหรอคะ...” เสียงจากที่แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ก็จางหายลงไปอีก เมื่อเขายื่นมือมาสัมผัสเบา ๆ ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ พร้อมกับลูบวนเบา ๆ ที่แหวนเพชรวงสวยที่เธอสวมอยู่ ซึ่งเธอก็พึ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอนั้นมีแหวนสวมอยู่
“แหวนวงนี้ผมเป็นคนออกแบบเอง รวมถึงวงนี้ด้วย” เขาพูดต่อ พร้อมกับเบนสายตาให้เธอมองตามมาที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาที่ก็มีแหวนสวมอยู่ด้วยเช่นเดียวกันกับเธอ แต่เป็นแหวนเงินฝังเพชร ไม่ได้โชว์เพชรอย่างของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีมูลค่ามากเลยทีเดียว
“แหวนแต่งงาน...ของเราหรอคะ” พอได้เห็นทั้งแหวนแต่งงาน ทั้งรูปถ่ายในชุดแต่งงานระหว่างเธอและเขาจากที่ปฏิเสธเสียงแข็ง ก็เริ่มจะอ่อนลงบ้างแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ยังไม่สามารถยอมรับสถานะที่ทั้งเขาและพ่อบอกได้อยู่ดี
“ใช่ครับ แหวนแต่งงานของเรา” เขาบอกเธอด้วยรอยยิ้ม เมื่อเธอเริ่มอ่อนลงให้มากแล้ว ก่อนจะต้องยิ้มเก้อเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“ฉันขอโทษนะคะที่ต้องพูดแบบนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันประสบอุบัติเหตุจนหมดสติไปถึงสองปี รู้สึกตัวขึ้นมาก็มีใครที่ไหนไม่รู้มาแสดงตัวว่าเป็นสามีของฉัน ทั้งที่ฉันไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนด้วยซ้ำ”
“เพราะงั้นคุณกลับไปก่อนได้ไหม ขอเวลาให้ฉันได้คิดทบทวนเรื่องระหว่างเรา...”
“แพร...” น้ำเสียงแหบพร่าพร้อมด้วยสายตาเจ็บปวดทอดมองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลงในสิ่งที่เธอขอ
“ได้สิ ถ้าคุณต้องการแบบนั้น”
“ขอบคุณนะคะ ที่เข้าใจฉัน” แม้ว่าจะรู้สึกวูบไหวในใจแปลก ๆ กับสายตาที่แสนเจ็บปวดของเขา แต่ก็ต้องรีบสลัดมันทิ้งไป เมื่อคิดได้ว่าเขาคือคนแปลกหน้าที่อาจกลายมาเป็นสามีของเธอในอนาคต คนแปลกหน้าที่อาจจะทำให้ชีวิตสาวโสดในความทรงจำที่มีอยู่ของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
