18 ง้อ?
ใช้เวลาไม่นานมื้อค่ำอันแสนสงบสุขก็จบลง สองสามีภรรยาช่วยกันจัดเก็บโต๊ะอาหาร โดยที่คนบอกจะเป็นเด็กดีนั้นคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด ไม่ยอมไปอาบน้ำตามที่เขาบอก
“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”
“ไม่เอา ฉันอยากช่วย”
“คุณแพ้น้ำยาล้างจาน”
“ให้ฉันล้างน้ำเปล่าก็ได้ หรือจะให้ฉันเช็ดจานก็ได้”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมเอาใส่เครื่องล้างจาน” คนที่ไม่อยากให้เธอต้องเหนื่อยพูดขึ้น แต่เด็กดื้อก็คือเด็กดื้ออยู่วันยังค่ำ
“งั้นฉันเอาใส่เอง คุณนั่นแหละไปอาบน้ำได้แล้ว” ว่าจบก็ทำจมูกฟุดฟิด ๆ พร้อมขยับใบหน้าเข้าไปหาตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณนี่มัน...”
“มันอะไร ค คะ” ว่าจบก็เงยหน้าขึ้นมองเขาทันที แต่เพราะเมื่อกี้เธอขยับตัวมาอยู่ใกล้เขามากไปหน่อย ทั้งเขาก้มหน้าจะดุเธอ ทำให้สองสายตาสบกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ตึกตัก ตึกตัก เสียงหัวใจที่เต้นแรง ไม่รู้ว่าเป็นเสียงหัวใจของใครกันแน่ ก่อนจะเป็นพริษฐ์ที่หันหน้าหนีออกไปก่อน แต่อยู่ ๆ แขนเรียวของแพลดาก็เข้ามาคล้องคอของเขาไว้ ทำให้เขาต้องหันหน้ามาสบตาเธออีกครั้ง ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ก่อนที่เธอจะออกแรงรั้งต้นคอเขา ให้เขาโน้มหน้าลงไปหา ซึ่งเธอเองก็ค่อย ๆ เขย่งปลายเท้าโน้มหน้าเข้ามาหาเขาเช่นกัน
ใบหน้าที่เคยห่างบัดนี้เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไวน์ จากลมหายใจของกันและกัน และอีกเพียงไม่กี่เซ็นต์เท่านั้นที่ริมฝีปากของเขาและเธอจะแนบชิดกัน... ก่อนที่
ผละ ก่อนที่เขาจะผละออก ราวกับว่าเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
“เอ่อ คือว่าฉัน” พอถูกเขาผละออกเป็นครั้งที่สองแบบนี้ เธอก็ทำตัวไม่ถูกทันที ก่อนจะรีบเดินหนีเข้าห้องไป ด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวใจ ทั้งยังรู้สึกอายกับการกระทำของตัวเอง
“ทำบ้าอะไรของแกยัยแพร” มือบางยกขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากของตัวเองแผ่วเบา เมื่อกี้อีกนิดเดียวเธอก็จะสัมผัสกับริมฝีปากหยักได้รูปของเขาแล้ว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่เขา...เขาก็ผละมันออก เหมือนว่าเขาไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ทำไมกันล่ะ ในเมื่อการกระทำของเขามันก็ชัดเจนทุกอย่างว่าเขาอยากให้เธอกลับมาเป็นคนรักของเขาเหมือนเดิม อยากให้เธอกลับมาจำเขาได้ อยากให้เธอรับรักเขา แต่ทำไมตอนที่เราจะจูบกันเมื่อกี้นี้เขาถึงหันหน้าหนี ไม่ใช่ว่าการจูบมันก็คือการแสดงความรักอย่างหนึ่งหรอ หรือว่าเธอเข้าใจอะไรผิดไป...
ส่วนเมื่อกี้นี้อยู่ ๆ เธอรู้สึกอยากสัมผัสเขา มันคงจะเป็นเพราะสิ่งที่แก้วบอกเมื่อตอนกลางวันมันทำให้เธออยากลองพิสูจน์ พิสูจน์ว่าหากเธอจูบกับเขาแล้ว ใจเธอจะเต้นแรงอย่างที่แก้วบอกรึเปล่า และเธอก็อยากพิสูจน์ด้วยว่าเขารักเธอจริง ๆ รึเปล่า เพราะเขาไม่เคยพูดบอกรักเธอเลยสักครั้ง... แม้แต่การแสดงความรักอย่างคู่รักทั่วไปเช่นการจูบ จับมือถือแขน เขาก็ไม่เคยทำ อย่าไปพูดถึงเรื่องเซ็กส์เลย แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มีแค่การดูแลเอาใจใส่เธอเท่านั้นที่เขาทำมันได้ดี
ด้านพริษฐ์หลังจากที่แพรลดาเดินหนีเข้าห้องมา เขาเพียงมองตามเธอเท่านั้น ก่อนจะหันมองกองจานที่ถูกวางไว้ในซิงค์ แล้วกระตุกยิ้มเบา ๆที่มุมปาก เรื่องล้างจานนั้นจริง ๆ แล้วเขาไม่จำเป็นต้องร้านเลย เพราะในทุกเช้าหลังจากที่เขาและเธอไปทำงานจะมีแม่บ้านมาจัดการ หรือหากเขาอยากได้ความเป็นส่วนตัวหน่อย เขาแค่โยนเข้าเครื่องล้างจานก็เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เขาแค่อยากให้เธอไปอาบน้ำ นอนพักผ่อนก็เท่านั้น เพราะเธอเดินซื้อของกับเพื่อนหลายชั่วโมง ให้มายืนช่วยเขาล้างจานเขากลัวเธอจะปวดขา แค่เขาทำท่าจะล้างจานแล้วเธอเสนอตัวเข้ามาช่วยแค่นี้ก็ถือว่าเธอเป็นเด็กดีขึ้นมากแล้ว
แต่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลยเถิดจนทำให้เราเกือบได้จูบกัน ไม่สิ อะไรเข้าสิงให้เธอมารุกจูบเขาก่อนแบบนั้น มันดูไม่เป็นตัวเธอเลยสักนิด เพราะปกติแล้วเธอจะเป็นฝ่ายหนีและเป็นเขาที่คอยรุกเธอช้า ๆ ตลอด
หลังจากปล่อยให้เครื่องร้านจานได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว เขาก็เดินไปหยิบเอาไวน์แดงในตู้มายืนดื่มที่ริมกระจกบานใหญ่ภายในห้องนั่งเล่น มองดูวิวทิวทัศน์ด้านนอก ปล่อยให้เธออาบน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วค่อยเข้าไปหา
“ทำไมยังไม่นอน” เดินเข้ามาก็เห็นเธอนั่งอยู่ปลายเตียง เหมือนกำลังรอเขาอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปหา ก่อนจะถามขึ้น
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
“พูดกับผม?”
“ค่ะ”
“...” ได้ยินเธอพูดแบบนั้น เขาเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น ก็จะหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นที่ว่างบนเตียงข้าง ๆ เธอ แต่รออยู่สักพักเธอก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา จนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ สุดท้ายก็เป็นเขาที่ต้องพูดขึ้นแทน
“งั้นผมไปทำงานที่ห้องทำงานนะ ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ก็ไปหาผมได้เลย” ว่าจบก็หยัดตัวลุกขึ้นทันที ก่อนจะเดินออกไปยังห้องทำงานตามที่พูด แต่มือหน้ายังไม่ได้สัมผัสคันโยกประตู ก็มีมือเล็ก ๆ ของเธอมาดึงชายเสื้อเขาไว้ซะก่อน แล้วออกแรงกระตุกเบา ๆ เหมือนต้องการให้เขาหันไปหา
“เดี๋ยวค่ะ”
“อย่าพึ่งไป”
“?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเชิงถาม เมื่อหันมาแล้วเธอก็ยังไม่ยอมพูด เขาจึงตั้งท่าจะเดินไปห้องทำงานต่อ จนเธอยอมพูดในที่สุด
“คุณยังโกรธฉันอยู่ใช่ไหมคะ”
“โกรธ?”
“ก็เรื่องวันนั้นไงคะ” เมื่อเขาทำเหมือนไม่รู้เรื่องเธอจึงเริ่มอธิบาย จากตอนแรกเป็นเธอที่โกรธเขา และเขาต้องง้อเธอ กลายเป็นว่าตอนนี้เขาโกรธเธอซะงั้น ซ้ำคนที่ไม่เคยง้อใครอยู่ต้องมาง้อมาขอโทษเขาอีก
“ผมไม่ได้โกรธ ผมแค่เสียใจ” พูดจบก็หันตัวหลับมายังประตูแล้วกดคันโยกประตูเพื่อออกไปยังห้องทำงานทันที
หมับ
“คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิคะ”
“คุณบอกว่าคุณไม่โกรธ แต่คุณไม่ยอมพูดกับฉันเลย ยิ้มคุณก็ไม่ยิ้ม บอกฝันดีก็ไม่บอก แถมยังชอบเมินฉันด้วย”
“วันนั้นฉันยอมรับค่ะ ว่าฉันไม่พอใจคุณเรื่องที่คุณพูดเข้าข้างเพื่อนของคุณจริง ๆ ส่วนเรื่องหึงหวงอะไรนั่น...”
“ฉันก็ไม่ได้รู้สึกจริง ๆ อย่างที่พูด ขอโทษนะคะ ที่ต้องพูดตรง ๆ แบบนี้ แต่ความรู้สึกของฉันในตอนนั้นมันเป็นอย่างที่ฉันพูดจริง ๆ”
“แล้วฉันก็ไม่อยากโกหกคุณด้วย...”
“พูดจบแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
“งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อน คุณก็เข้านอนได้เลยไม่ต้องรอผม” ว่าจบก็เดินออกไปทันที ทิ้งให้คนที่พึ่งพูดขอโทษคนอื่นครั้งแรกได้แต่มองตามด้วยแววตาไหวสั่น ทำไมมันถึงได้ปวดหน่วงในใจแบบนี้นะ ทำไมการถูกใครสักคนเมินมันถึงได้รู้สึกเจ็บแบบนี้ ไม่สิใครสักคนที่เป็นคนเขา
เพราะหากเป็นคนอื่นแล้ว หากใครเลือกที่จะเมินเธอ เธอก็ไม่คิดจะสนใจ ไม่คิดจะแคร์ แต่พอเป็นเขา เธออยากให้เขาสนใจ ใส่ใจเธอเหมือนเดิม เธอไม่ชอบที่เขาเป็นแบบนี้เลย
ด้านคนที่เดินหนีมานั้น ลับหลังรางบางมุมปากหนาก็กระตุกยิ้มทันที สุดท้ายแล้วกระต่ายน้อยก็ตกหลุมพรางที่เสือร้ายอย่างเขาขุดไว้ แน่นอนว่าการไม่พูดกับเธอตั้งแต่คืนนั้นมันก็คือแผนการของเขา รวมถึงหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมาสองสามวันนี้ด้วย มันคือแผนของเขาทั้งหมด
เขาอยากให้เธอปรับเปลี่ยนนิสัย เรื่องการไม่ยอมใคร และการปากหนักไม่พูดขอโทษคนอื่นของเธอ ด้วยความเป็นลูกคนเดียว และถูกพ่อตามใจมาตลอด อีกทั้งพ่อเธอยังเป็นคนมีอำนาจ ทำให้หลายครั้งที่ทำผิดอีกฝ่ายมักจะเป็นคนขอโทษเธอเสมอ
ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจพ่อของเธอ เพราะพ่อแต่ละคนนั้นมีวิธีการสอนลูกที่แตกต่างกันไป ในด้านอื่นแน่นอนว่าเธอเติบโตมาอย่างดี มีเพียงด้านนี้และอีกไม่กี่ด้านเท่านั้นที่พ่อของเธอมาปรึกษาเขา และอยากให้เขาช่วยดูแลเธอเรื่องนี้หากแต่งงานกันไป ด้วยความเป็นพ่อที่แสนจะห่วงลูกสาว
แต่ก็ดีหน่อยที่เธอนั้นไม่ได้จะหาเรื่องกับคนอื่นไปทั่ว มีแค่เรื่องสุดวิสัยจริง ๆ เท่านั้น...ที่เธอจะทำผิด และนอกจากการปรับเปลี่ยนนิสัยแล้ว เขาเองก็อยากพิสูจน์ด้วยว่า เกือบสามเดือนที่ผ่านมานั้นเขาได้เข้าไปในใจเธอบ้างแล้วหรือยัง ซึ่งเขาคิดว่าเขาได้คำตอบแล้ว
ก๊อก ๆ นั่งทำงานไปได้สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งหน้าเครียดอ่านเอกสารค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองไปทางประตูทันที แต่พอไม่มีใครเดินเข้ามา ซ้ำประตูยังถูกเคาะขึ้นอีก เขาจึงพูดเสียงเรียบ
“เข้ามา”
“ฉันมากวนคุณรึเปล่า” เสียงเล็ก ๆ ว่าขึ้น พร้อมด้วยใบหน้าสวยที่ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากบานประตูและเมื่อเขาถามตัวก็ขยับออกมาด้วย
“มีอะไร” เสียงเข้มเอ่ยถามคนตัวเล็กที่กำลังเดินเข้ามาหา
“ฉันขอนั่งเล่นในนี้ได้รึเปล่า” ว่าจบก็ชี้ไปยังโซฟาตัวเล็กข้างโต๊ะทำงานของเขา
“อื้ม เอาสิ”
“ขอบคุณนะ” ว่าจบร่างเล็ก ๆ ก็เดินไปยังโซฟาตัวที่ว่างทันที หย่อนตัวนั่งลงก็พบกับความสบาย มันนุ่มมากจนแทบจะดูดวิญญาณเธอเลยก็ว่าได้ แต่ไม่ได้ ๆ เธอจะหลับตอนนี้ไม่ได้
“มีอะไรให้ฉันช่วยรึเปล่า” นั่งสบาย ๆ อยู่สักพัก พอหันไปเห็นเขาทำงานอย่างตั้งใจ ก็หยุดสายตามองเขาอย่างหลงใหล นิ้วแกร่งเรียวยาวของเขาที่ตวัดปากกาหลังจากอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ บ้างก็หันมากดคีย์บอร์ด บ้างก็เลื่อนจอแท็ปเล็ต ก่อนจะกลับมาอ่านเอกสารอีกครั้ง ส่วนเธอก็ได้แต่มองเขาอย่างเพลิดเพลิน
คิ้วเข้มของเขาค่อย ๆ ขมวดขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับคิ้วของเธอที่เริ่มขมวดไปพร้อมกับเขาอย่างไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็ตอนจะถ่ายรูปส่งไปให้เพื่อนสนิทอย่างแก้วดูนั่นแหละ ถึงรู้ว่าตัวเองนั้นคิ้วจะผูกเป็นโบว์อยู่แล้ว
“ไปนอนได้แล้ว” เสียงเข้มว่าขึ้น โดยที่สายตาไม่ละจากจอแท็ปเล็ตเลยแม้แต่น้อย และเธอก็พึ่งสังเกตเมื่อสักครู่นี่เองว่าเขาใส่แว่นอยู่ อยู่ด้วยกันมาเกือบสามเดือนแล้ว เธอพึ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขาเองก็สายตาสั้นเช่นเดียวกับเธอ แต่เธอไปทำเลสิกมามาแล้ว แว่นเลยไม่จำเป็นอีกต่อไป ว่าแต่เขาไปแอบใส่คอนแทคเลนส์ตอนไหนนะทำไมเธอไม่เคยเห็นเลย
“ไม่เอา ฉันอยากช่วย”
“มันเป็นงานของผม ผมจัดการเองได้ คุณไปนอนเถอะ”
“ก็ฉันบอกว่าฉันอยากช่วย มีอะไรที่ฉันพอช่วยได้ก็บอกมาได้เลย”
“สิ่งที่คุณจะช่วยผมได้ คือการที่คุณไปนอน” พริษฐ์ว่าเสียงเรียบก่อนจะหันเก้าอี้มามองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“นี่!” ปากเล็ก ๆ ตั้งท่าจะเถียงเขาอีก แต่ก็ต้องอ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อเขาพูดบางอย่างออกมา
“ไหนบอกกับผมว่าจะเป็นเด็กดี หึ”
“ฉันก็เป็นเด็กดี...กำลังจะช่วยคุณทำงานอยู่นี่ไง” เสียงเล็ก ๆ ว่าขึ้น พร้อมกับมองเขาตาปริบ ๆ เพราะตอนนี้เขานั่งเก้าอี้ ส่วนเธอยืนคร่อมเขาอยู่ ถึงอย่างนั้นเธอก็สูงกว่าเขาไม่มาก...ทั้ง ๆ ที่เขานั่งอยู่แท้ ๆ
“ไม่ว่าผมจะพูดยังไง คุณก็จะไปยอมไปนอนใช่ไหม”
“ใช่” เสียงดังฟังชัดว่าขึ้น
“งั้นมานั่งตรงนี้” ว่าจบก็ลุกออกจากที่นั่งให้เธอได้นั่งทันที
“แล้วดูที่จอนั่น” เมื่อเห็นเธอทำหน้างงไม่ยอมนั่งเขาจึงพูดต่อ สุดท้ายเธอก็ยอมนั่งในที่สุด
“แล้วยังไงต่อ” เพราะมีเขายืนคร่อมหลังอยู่แบบนี้ ยอมรับเลยว่าเธอรู้สึกไม่ชินเลยจริง ๆ ไม่เคยชินเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะที่ทำงานหรือตอนนี้
“คุณตั้งใจฟังผมให้ดีนะ...” ว่าจก็เริ่มพูดเริ่มอธิบายสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทันที สีหน้าของเขานั้นดูจริงจังกับสิ่งตรงหน้ามาก จนเธอไม่กล้าที่จะพูดแหย่เขา หรือทำเล่นแม้แต่น้อย
เพราะต้องพูดอธิบาย และชี้หน้าจอประกอบเพื่อให้เธอดูได้เข้าใจมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจึงขยับเข้าใกล้ใบหน้าเธอมากขึ้นเรื่อง ๆ จนตอนนี้ใบหน้าของเขาอยู่ข้าง ๆ แก้มนวลของเธอแล้ว ทำให้เธอไม่กล้าหันไปหาหรือหันไปมองเลยแม้แต่น้อย ได้แต่นั่งมองหน้าจอนิ่ง
“เข้าใจที่ผมพูดรึเปล่า”
“เข้าใจ...ค ค่ะ” จะหันไปตอบเขาก็แทบหยุดหายใจทันที เพราะหันไปแล้วปลายจมูกรั้นของตัวเอง สัมผัสกับแก้มสากของเขาอย่างฉิวเฉียด ก่อนที่จะหันมองสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ถ้าเข้าใจแล้วผมมีอะไรจะให้คุณดู” เขาว่าเสียงเรียบก่อนจะขยับตัวเข้าสู่ตำแหน่งเดิม จากที่โน้มตัวเข้าใกล้เธอ เหตุการณ์ในครั้งนี้จึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เธอได้หอมแก้มเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วเขาก็ทำเมินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
