14 เชือดเฉือน
ใช้เวลาไม่นานคอลเลคชั่นใหม่ที่ว่าก็ถูกนำออกมาให้พริษฐ์ได้ตรวจดู
“ผมให้คุณตัดสินใจ” หลังจากนั่งดูคอลเลคชั่นใหม่ที่ผู้จัดการร้านนำมาให้ดูสักพักใหญ่ พริษฐ์ก็หันไปถามแพรลดาที่นั่งดูอยู่ข้างกัน เพราะระหว่างที่ตรวจดูเครื่องเพชรนั้นเขาก็คอยมองเธอไปด้วย ซึ่งดูเธอก็สนใจกับสิ่งตรงหน้ามากทีเดียว ดวงตากลมสวยเป็นประกาย ไม่ใช่เพราะความอยากได้ แต่เป็นเพราะชอบและสนใจมาก ๆ ของเธอต่างหาก
“คะ?” คนที่อยู่ ๆ ก็ถูกพูดด้วยหลังจากที่เขาไม่พูดอะไรด้วยเลย หันไปหาเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามทันที
“ผมให้คุณเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำยังไงกับคอลเลคชั่นนี้”
“หะ ให้ฉันหรอคะ” นิ้วเรียวสวยชี้มาที่ตัวเอง อย่างไม่คาดคิด ส่วนผู้จัดการที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ใกล้ ได้ยินดังนั้นก็หลุดกิริยาเผลอทำสีหน้าไม่พอใจทันที
“ใช่ ไหน ๆ วันนี้ผมก็พาคุณมาด้วยแล้ว เพราะงั้นคุณก็ช่วยผมหน่อยแล้วกัน”
“แต่ว่าแบบนี้มัน...”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะรับผิดชอบเอง” สีหน้าเป็นกังวลของเธอ ทำให้เขาพูดเพื่อให้เธอสบายใจ ในเวลาปกติเธอจะมีความมั่นใจในการทำงานสูง ยิ่งที่ทำงานเก่าเธอแล้วนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอมักจะเป็นคนตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวเสมอ
ทำงานกับเขาก็เหมือนกัน หลายครั้งที่เธอตัดสินใจได้ดี แต่ครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะแม่ของเขาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธออยู่ ทำให้เธอกลัวว่าถ้ามันออกมาไม่ดีหรือทำให้อ่านไม่พอใจ มันอาจจะกระทบคนในวงกว้าง และคนที่กลัวว่าจะโดนผลกระทบมากที่สุดก็คงจะเป็นพ่อของเธอ... ไม่อย่างนั้นแล้วเธอคงกล้าลงมือ ไม่ต้องคิดมากแบบนี้
“ตกลงค่ะ” พอได้รับคำยืนยันจากเขา ความมั่นใจจะที่ลดลงก็เพิ่มขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ แน่นอนว่าตั้งแต่ได้ยินคำถามจากผู้จัดการ เธอเองก็เริ่มคิดเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา นี่เป็นงานของเขาเธอจึงไม่อยากก้าวก่าย แต่เมื่อเขาโยนมาให้เธอแบบนี้ ก็คงต้องลองฝีมือกันสักหน่อย
“คอลเลคชั่นใหม่ส่วนใหญ่จะมีดีไซน์เป็นดอกไม้ มีหลายดอกที่บลูมในช่วงซัมเมอร์...”
“คุณแพรจะให้เปิดคอลเลคชั่นนี้ในช่วงซัมเมอร์หรอครับ” ผู้จัดการร้านถาม ก่อนจะแอบกลอกตา เพราะช่วงซัมเมอร์ที่แพรลดาว่านั้นกว่าจะถึงก็อีกห้าเดือนเห็นจะได้ ถ้าปล่อยเวลาไว้นานขนาดนั้นคอลเลคชั่นที่วางอยู่ไม่ตกเทรนด์ไปแล้วหรอ ไม่รู้ว่าคุณควินคิดอะไรอยู่ถึงได้พาเมียมาทำงานด้วย
“เปล่าค่ะ” ว่าพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ หึ ซึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเธอนั้นได้ยิน
“ครับ?”
“แพรว่าเปิดคอลเลคชั่นในช่วงวินเทอร์น่าจะดีกว่าค่ะ”
“แต่คุณแพรบอกว่ามันเป็นดอกไม้ของฤดูร้อนไม่ใช่หรอครับ”
“ฟังแพรพูดก่อนสิคะ” น้ำเสียงที่เคยอ่อนหวานแข็งขึ้นน้อย ๆ เมื่อเธอแสดงความอ่อนโยนแล้วอีกฝ่ายไม่มีความเกรงใจ หรือเกรงกลัว ก็คงต้องเปลี่ยนโหมดกันบ้าง
“หลายดอกบานในช่วงซัมเมอร์ก็จริงค่ะ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่บานในช่วงวินเทอร์ แพรเลยคิดว่าเราน่าจะออกแบบเพิ่ม” พูดจบก็หันมองเขาเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาพยักหน้าอนุญาตให้เธอพูดสิ่งที่เธอคิดได้อย่างเต็มที่ เธอจึงพูดต่อ
“ส่วนของซัมเมอร์ก็เก็บเป็นคอลเคลชั่นในช่วงซัมเมอร์”
“อีกอย่างนี่ก็ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้วด้วย แพรว่ายิ่งเหมาะมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ที่จะเปิดคอลเลคชั่นนี้”
“ผมเห็นด้วย” เสียงทุ้มหนักแน่นพูดสนับสนุน ซึ่งการที่เขาพูดออกมาแบบนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่เธอเสนอนั้นมันจะต้องเกิดขึ้น
“ส่วนรายละเอียดเราค่อยคุยกันอีกที”
“ครับ” เมื่อสองสามีภรรยาว่ากันมาแบบนี้ผู้จัดการร้านที่พ่วงหลายตำแหน่งในการดูแลร้านและเครื่องประดับภายในร้าน ก็ได้แต่กัดฟันยอมรับ อย่างไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งยังถูกเด็กเมื่อวานซืนฉีกหน้า ไม่เหลือชิ้นดี กล้าดียังไงมาหาว่าเขาพูดกัน กล้าดียังไงมาอวดรู้กับเขาที่ทำงานมาแล้วกว่ายี่สิบปี
“หน้าฉันมันไม่เป็นมิตรหรอคุณ” ทันทีที่เดินออกจากร้านมา เธอก็ร้องถามเขาทันที ซึ่งพอถามเขาไปแบบนั้น เขาก็หันหน้ามามอง พร้อมยักคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็ผู้จัดการร้านคุณ ตั้งแต่ฉันดินเข้าร้านมาก็ดูจะไม่ชอบฉันมาก ๆ” ว่าพร้อมกับทำสีหน้าอย่างหงุดหงิด สิ่งที่ผู้จัดการร้านทำไม่ใช่ว่าเธอไม่เห็นเพียงแต่เธอไม่พูดก็เท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นอย่างที่เธอเห็นรึเปล่า จะบอกเขาก็ไม่กล้า กลัวเขาหาว่าคิดไปเอง
“ไม่รู้ว่าฉันเคยไปเหยียบขาเขารึเปล่า ถึงได้เกลียดหน้ากันขนาดนั้น พูดแล้วก็อารมณ์เสียชะมัด เหอะ” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นกอดอก บ่งบอกว่าตัวเองนั้นอารมณ์เสียจริง ๆ ถ้าเป็นพนักงานบริษัทของพ่อเธอ แล้วมาทำแบบนี้กับเธอ แน่นอนว่าเธอวีนใส่แน่ แต่นี่เพราะเป็นร้านของแม่เขา ทั้งยังเป็นร้านใหญ่ลูกค้าเข้าออกตลอด เธอควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตอกกลับคนที่โตแต่อายุได้เท่านี้ก็ดีมากแล้วจริง ๆ
“เรื่องนั้นผมจะจัดการให้เอง” เพราะการกระทำของผู้จัดการ ก็ทำเขาไม่พอใจเหมือนกัน มีอย่างที่ไหนมาทำกับผู้หญิงของเขาแบบนั้น นอกจากจะไม่ให้เกียรติเธอแล้ว ยังเหมือนไม่ให้เกียรติเขาด้วย เพราะเขากับเธอก็เหมือนคนคนเดียวกัน
“ส่วนเรื่องหน้า... หน้าคุณไม่ได้ไม่เป็นมิตร แต่...” ได้ยินเขาบอกว่าจะจัดการให้ ก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาทันที และอารมณ์ดีก็มาพร้อมกับความรู้สึกดี เขากำลังปกป้องเธออีกแล้วสินะ แต่นั่นแหละอารมณ์ดีได้ไม่เขา ก็ต้องชะงักไปเพราะคำพูดของเขา
“แต่อะไร”
“แต่น่ารักมากต่างหาก หึ” ว่าจบก็เดินหนีไปในทันที ทิ้งให้คนถูกชมว่าน่ารักได้แต่ยืนหน้าแดงกับคำพูดของเขาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะต้องรีบเดินตามเขาไป เมื่อเห็นร่างบางอันคุ้นเคยเดินเข้าไปหาเขา
“ควินมาคนเดียวหรอ”
“คุณฉันหิวแล้ว” ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบอะไร เสียงหวานใสก็ดังขึ้นซะก่อน พร้อมกับแขนที่ถูกเธอคล้องเอาไว้
“ไม่มีมารยาท”
“คุณแม่ สวัสดีค่ะ” ได้ยินคำพูดไม่เข้าหูแพรลดาก็รีบหันมองตามเสียง ก่อนจะพบกับแม่สามีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ... คนรักเก่าของสามี เห็นแบบนั้นเธอก็รีบปล่อยแขนออกจากเขา แล้วพนมมือไหว้สวย ๆ พร้อมรอยยิ้มหวาน ๆ ทันที
“ฉันมีลูกชายคนเดียว” และก็เหมือนอย่างเคย ที่ละไมจะตอบกลับมาแบบนั้น และนั่นก็ทำให้หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ส่งยิ้มให้แพรลดา ยิ้มที่ไม่ใช่การยิ้มทักทาย ยิ้มที่ไม่ใช่การยิ้มด้วยความเป็นมิตร
“ไหนคุณแม่บอกจะไปทานข้าวกับเพื่อนไงครับ” เป็นพริษฐ์ที่พูดขึ้นบ้าง
“ตอนแรกแม่ก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้น แต่เพื่อนแม่ดันมายกเลิกนัดซะก่อน พอดีได้เจอหนูทับทิมตอนเข้าห้างมา”
“นี่ก็ตั้งใจจะมาหาควินแล้วชวนออกไปทานข้าวข้างนอกด้วยกัน”
“เชิญคุณแม่ไปกับทับสองคนเถอะครับ พอดีผมกับแพรต้องรีบเข้าบริษัท”
“คงต้องไว้โอกาสหน้านะคะคุณแม่”
“ฉันจำได้ว่าไม่ได้ชวนเธอนะแพรลดา”
“แหมคุณแม่ก็ แพรกับพี่ควินแต่งงานกันแล้ว” ว่าพร้อมกับขยับตัวเข้าใกล้เขามากขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นคลองแขนเขาตามเดิม เงยหน้าส่งยิ้มยั่วยวนให้เขาน้อย ๆ แล้วหันไปพูดกับแม่สามีต่อ
“เราก็เหมือนคนคนเดียวกันนั่นแหละค่ะ พี่ควินอยู่ที่ไหนแพรก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย แพรอยู่ที่ไหนพี่ควินก็อยู่ที่นั่นด้วย”
“ไม่ว่าจะเป็นห้างนี้ ร้านเพชรคุณแม่ บริษัทคุณแม่...หรือแม่แต่คอนโด แล้วก็ห้อง...” เธอเว้นช่วงไว้เท่านั้น ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้แม่สามี ซึ่งนั้นก็ทำให้ละไมเลือดขึ้นหน้าทันที
“บัดสีบัดเถลิง กลางวันแสก ๆ พูดอะไรไม่รู้จักอายฟ้าอายดิน ฉันละปวดหัวกับลูกสะใภ้แบบเธอจริง ๆ แพรลดา”
“หนูทับช่วยแม่ด้วยลูก” ว่าพร้อมกับทำท่าจะเป็นลมจนให้ทับทิมเข้ามาประคอง หลังจากถูกประคองแล้วจึงเริ่มเหน็บแนมลูกสะใภ้ต่อ
“ดูอย่างหนูทับเค้าสิ เรียบร้อยอ่อนหวาน มีความเป็นกุลสตรี ทำงานบ้านงานเรือนก็เก่ง อาหารก็อร่อย”
“แล้วเธอล่ะแพรลดามีอะไรดีพอจะเป็นสะใภ้ฉันได้อย่างหนูทับบ้าง”
“แพรหรอคะ...” ได้ยินแม่สามีถามแบบนั้น ใบหน้าสวยหวานก็ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะแอบเหล่ตามองทับทิม ที่แอบยิ้มเยอะเธออยู่
“แพรมีสามีดีค่ะ สามีแพรทำอาหารเก่ง แถมอร่อยมาก ๆ เลยนะคะคุณแม่ นอกจากทำอาหารเก่งแล้วเขายังดูแลแพรดีด้วยค่ะ”
“แพรหกล้มเขาก็หายามาทาให้ แพรหิวเขาก็ทำอาหารมาให้ทาน แพรหนาวเขาก็ให้แพรกอด แพรกลัวแพรฝันร้ายเขาก็ปลอบแพร แพรงอนเขาก็ซื้อของกินที่แพรชอบมาง้อ ส่วนเรื่องหน้าที่การงานก็ดีค่ะ บริษัทเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังลงทุนหลายรูปแบบเพื่อกระจายความเสี่ยง เขากลัวแพรจะต้องลำบาก ดูสิคะว่าสามีแพรเขาดีมากแค่ไหน” ว่าจบก็เงยหน้ามองเขาตาหวานเชื่อม ก่อนจะหันไปมองแม่สามีพร้อมรอยยิ้ม
ส่วนคนที่ถูกพูดถึงเมื่อได้ยินสิ่งที่คนตัวเล็กพูดก็กระตุกยิ้มมุมปากทันที
“แพรลดา เธอ!”
“พอเถอะครับคุณแม่ อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ”
“นั่นสิคะ น้องแพรยังเด็กคุณแม่อย่าไปถือสาเลยนะคะ” เสียงหวานของทับทิมพูดเสริม แต่สำหรับแพรลดาแล้วเป็นการต่อว่าเธอทางอ้อมมากกว่าเธอสัมผัสได้ เหอะ เด็กห้าขวบยังดูรู้
“เด็กอย่างแพรเอง ก็ไม่ถือสาผู้ใหญ่หน้าไหว้หลังหลอกหรอกค่ะ”
“จริงไหมคะคุณทับ”
ด้านทับทิมได้ยินแบบนั้นก็มุมปากกระตุกทันที มือบากำเข้าหากันแน่นอย่างข่มกั้นอารมณ์ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วฉีกยิ้มหวาน ๆ ต่อ เห็นแบบนั้นแพรลดาก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณแม่” ชายหนุ่มหนึ่งเดียวว่าขึ้น เพราะขืนยืนอยู่พูดกันต่อ มีหวังได้ต่อปากต่อคำกันไม่เลิกแน่ เพราะงั้นแยกย้ายกัน น่าจะดีที่สุด
“แพรไปนะคะคุณแม่” ว่าพร้อมกับส่งยิ้มหวาน ๆ ให้แม่สามี ยิ้มหวาน ๆ อย่างทับทิม ก่อนจะเดินควงแขนสามีไว้แน่น แล้วหันกลับมามองแม่สามีอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะ หลังจากที่เดินผ่านหน้าแม่สามีไปแล้ว แน่นอนว่าแม่สามีกับคนรักเก่าของสามีเธอนั้นมองตาม ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เธอต้องการ
“ดูมันทำสิหนูทับ ดูมันทำ แม่จะเป็นลม”
