11 ไม่อยากให้เป็นแค่เรื่องเล่า
หลังจากที่พูดกันบนโต๊ะอาหารว่าพริษฐ์และแพรลดาจะย้ายไปอยู่คอนโดกันสองต่อสอง มันก็เป็นอย่างที่พูด เพราะในเย็นวันถัดมาทั้งคู่ย้ายไปนอนที่คอนโดกัน โดยก่อนไปนั้นก็ได้แวะมาทานอาหารที่บ้านของพริษฐ์ก่อน ด้านละไมนั้นแม้ไม่อยากแยกบ้านกับลูกชายสุดท้ายก็ต้องยอม จะว่าเธอไม่อยากแยกบ้านกับลูกชายก็ไม่ใช่ หากลูกสะใภ้เป็นคนอื่นไม่ใช่แพรลดาเธอคงจะซื้อเรือนหอ ซื้อคอนโดเพิ่มให้เป็นของแถม
ส่วนแพรลดาเธอก็พูดอะไรไม่ได้มากเพราะเป็นคนพูดเองว่าเธอสามารถอยู่คอนโดกับเขาสองคนได้ เธอทำได้เพียงแสดงออกทางสีหน้าให้เขาเห็นเท่านั้นว่าเธอไม่พอใจ อย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้
“อาหารไม่ถูกปาก หรือมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า” ทันทีที่รถจอดสนิทพริษฐ์ก็พูดขึ้น นอกจากเธอจะหน้าบูดแล้ว ตลอดทางเธอยังไม่พูดอะไรกับเขาด้วย ทั้งที่ปกติเธอมักจะชวนทะเลาะเสมอ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
“เปล่า” ปึง! พูดจบก็เดินลงจากรถปิดประตูใส่หน้าเขาทันที ไม่รอให้เขาอ้อมมาเปิดประตูรถให้เหมือนอย่างเคย แต่เดินหนีเขามาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดเดินด้วยความหงุดหงิดที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะเธอไม่รู้ว่าห้องพักของเขานั้นอยู่ห้องไหนและชั้นไหน
“นี่คีย์การ์ด คุณเก็บไว้หนึ่งอันก็แล้วกัน” เมื่อเดินมาถึงตัวเธอเขาจึงยื่นคีย์การ์ดให้ ก่อนจะเดินนำเธอไปยังห้อง โดยที่เขานั้นพยายามทิ้งขาให้เดินไปพร้อมกันกับเธอ
.
“วิวสวยจัง” เข้ามาในห้องของเขาอย่างแรกที่เธอทำก็คือเดินสำรวจห้องของเขา ก่อนจะเดินริมกระจกเพื่อรับชมวิวในยามค่ำคืนกลางใจเมือง ด้วยห้องพักของเขาที่อยู่ชั้นบนสุดทั้งยังถูกโอบล้อมด้วยกระจกบานใหญ่ ทำให้เธอเป็นวิวภายนอกได้อย่างชัดเจน อันที่จริงเธอก็มีห้องแบบนี้ ถ้าจำไม่ผิดพ่อเธอซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุยี่สิบ
แต่นึกย้อนดูแล้ววิวห้องเธอที่ว่าสวยมาก ๆ แล้ว จนยัยแก้วเพื่อนของเธอนั้นร้องว้าวแล้วว้าวอีก พอมาเจอของเขา ของเขากลับสวยมากขึ้นไปอีก ให้ตายสิ จะมีอะไรที่เธอจะเหนือกว่าเขาได้บ้างนะ
“วิวสวย ๆ แบบนี้ถ้าได้ไวน์สักแก้วก็คงดี” ริมฝีปากบางพึมพำออกมาเบา ๆ ดวงตากลมใสเป็นประกายจากแสงไฟของตึกและท้องถนนที่มีรถสัญจรไปมาด้านล่าง แต่การพึมพำบ่นกับตัวเองเบา ๆ ของเธอนั้นเธอไม่คิดเลยว่ามันจะดังจนทำให้คนที่เดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ยิน
“ไม่ได้”
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณมีใช่ไหม” ได้ยินแบบนั้นก็เดินเข้าไปหาเขาทันที ก่อนจะเงยหน้าถามเขาตาเป็นประกาย
“อืม” ด้านคนถูกมองเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น ก่อนจะมองเลยคนตัวเล็กไปดูวิวต่อ
“อยู่ไหนหรอ” พอได้ยินเขาว่าแบบนั้นก็หูกางทันที
“ผมบอกว่าไม่ได้”
“แต่ฉันอยากดื่มนี่ นะ ๆ”
“ไม่ได้” น้ำเสียงเริ่มดุขึ้นเรื่อย ๆ แต่คนที่อยากดื่มก็ยังไม่รู้สึกกลัว และยังไม่ยอมหยุดขอร้องเขา
“นะ ๆ แค่แก่เดียว” นิ้วชี้ถูกยกขึ้นเพื่อเน้นยำว่าเธอจะดื่มเพียงแก้วเดียวจริง ๆ
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้” เขาว่าด้วยน้ำเสียงที่ดุขึ้น จนทำให้เธอหน้าหงอยไปในทันที ก่อนจะพูดเหตุผลให้เธอฟัง
“คุณพึ่งออกจากโรงพยาบาล ผมไม่อยากให้คุณดื่ม ไว้อีกสักสองสามเดือน ถ้าคุณอยากดื่มผมจะเป็นคนบริการคุณเอง ไม่ว่าคุณอยากดื่มอะไร แพงแค่ไหน หายากแค่ไหน ผมก็จะหามาให้คุณ ผมขอแค่ช่วงนี้เท่านั้น ทำให้ผมได้รึเปล่า”
“ฉันก็ขอแค่แก้วเดียว...คุณให้ฉันไม่ได้หรอ” เด็กดื้อก็ยังเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนเขา หากเธอกับเขาเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ เธอคงจะวาดวงแขนคล้องคอเขาแล้วอ้อนเขาหนัก ๆ แล้ว แต่นี่...เห้อ
“ไม่ได้”
“ไปอาบน้ำได้แล้ว อย่าเป็นเด็กดื้อให้พี่ต้องเป็นห่วงเลยนะ” ว่าจบมือหนาก็ยกขึ้นยีหัวคนตรงหน้าเบา ๆ แล้วส่งยิ้มอบอุ่นให้ ก่อนจะเดินผ่านหน้าเธอไป ทิ้งให้คนถูกยีหัวพร้อมกับเสียงทุ้มอ่อนโยนได้แต่ยืนแข็งค้างอยู่อย่างนั้น
“ปะเป็นห่วงหรอ...”
“นี่! ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ...”กว่าจะได้สติแล้วตอบกลับเขาไป เขาก็เดินไปไกลแล้ว ได้แต่เห็นแผ่นหลังไว ๆ ของเขา เดินเข้าไปในห้องห้อง หนึ่ง ซึ่งเมื่อกี้เธอไปเดินสำรวจมาแล้ว คาดว่าจะเป็นห้องทำงานของเขา
ท่ามกลางแสงไฟสลัวของโคมไฟภายในห้องที่มืดสนิท อยู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เสียงของใครที่ไหน
“คุณ”
“หืม”
“ฉันถามอะไรหน่อยสิ”
“อื้ม”
“ถ้าการที่เราสองคนแต่งงานกันมันเป็นเรื่องจริง เรา...เราคบกันได้ยังไงหรอ” แพรลดาเลือกที่จะถามสิ่งเธอสงสัยออกไป อันที่จริงเธอเคยถามเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขาบอกว่ามันเป็นเวลางาน ไว้เลิกงานเธอเลยคิดว่าจะถามเขาใหม่ แต่ก็ลืม พึ่งจะมานึกออกเพราะต้องการหาเรื่องชวนเขาคุยเพื่อไม่ให้ตัวเองนอนหลับ
“มันเริ่มได้ยังไงน่ะหรอ...ถ้าผมบอกว่าคุณจีบผมก่อน คุณจะเชื่อผมรึเปล่า”
“ฉะ ฉันจีบคุณก่อนหรอ ฉันเนี่ยนะ” น้ำเสียงตกใจดังขึ้น ทำเอาคนนอนพื้นหัวเราะเบา ๆ กับท่าทีของคนบนเตียง
“หึ”
“หัวเราะอะไรของคุณ ฉันไม่ตลกด้วยนะ” ว่าแล้วก็พลิกตัวนอนตะแคงข้างหันมองคนที่นอนอยู่บนพื้นทันที
“ในตอนนั้นคุณยังเด็ก” เมื่อเธอพลิกตัวหันมาพูดด้วย เขาก็หันหน้าไปสบตาเธอด้วยเช่นกัน ก่อนจะเริ่มเล่าให้เธอฟัง
“เด็ก?”
“เด็กหญิงผมเปียที่ไหนไม่รู้ถือสตอเบอร์รี่ปั่นแล้ววิ่งมาชนผม
ทั้ง ๆ ที่ผมก็ยืนอยู่ของผมดี ๆ แต่ผมกลับเป็นคนผิดซะงั้น”
ผลัก
“โอ้ย”
“ขอโทษครับ เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ว่าพร้อมกับช่วยประคองคนที่กำลังหงายหลังให้ยืนดี ๆ เพราะสะดุ้งจากการชนเขาทำให้เธอเกือบล้มลงไปกองกับพื้น ถ้าเขาไม่รับเขาไว้ แต่ก็ไม่คิดว่าการทำคุณครั้งนี้จะได้รับคำด่ากลับมา
“เจ็บสิถามได้ คุณมายืนทำอะไรตรงนี้ ไม่รู้หรอว่ามันขวางทาง คนยิ่งรีบ ๆ อยู่ ๆ”
“สตอเบอร์รี่ปั่นฉันหกหมดเลย” มองน้ำแก้วโปรดในมือก็หน้างอทันที
“พี่ขอโทษแล้วกัน เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่โอเครึเปล่า” นอกจากเขาจะไม่ว่าอะไรเธอแล้วเขายังมีน้ำใจซื้อน้ำให้เธออีก
“ไม่ต้อง ฉันซื้อเองได้ แล้วก็ช่วยหลีกทางด้วย เพื่อนฉันรอนานแล้ว” ว่าแล้วก็เดินหน้างอผ่านหน้าเขาไปทันที ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมื่อหันมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่ามันเลยเวลานัดแล้ว
“หึ” หัวใจที่ถูกปิดตายเพราะเจ็บจากรักแรก อยู่ ๆ ก็กลับมาเต้นอีกครั้งทันที ก่อนจะหันมองเด็กหญิงผมเปียที่วิ่งผ่านหน้าตนไป พร้อมกับคำคำ หนึ่งที่ปรากฏขึ้นอยู่ในหัวของเขา ‘น่ารัก’
กลับมาที่ปัจจุบัน
“คุณกำลังจะบอกฉันว่าคุณตกหลุมรักฉันเพราะฉันเดินชนคุณ ว่างั้น”
“ไม่”
“นี่คุณ!”
“ผมแค่จะบอกคุณว่านั้นเป็นวันแรกที่เราได้เจอกัน” เขาพูดอธิบาย ส่วนเรื่องตกหลุมรักนั้น ก็คงจะเป็นวันเดียวกันที่เขาได้เจอเธอ วันนั้นเขาเริ่มรู้สึกประทับใจเธอตั้งแต่ที่เธอวิ่งหนีเขาไป แล้วไปช่วยคุณยายข้ามถนน
ถึงเธอจะจนวิ่งมาชนเขา ทั้งยังต่อว่าเขาสารพัด วิ่งหนีเขาไปแล้วก็ยังจะเอาแต่ก้มมองนาฬิกาข้อมือไม่หยุด แต่พอเห็นคุณยายกำลังข้ามถนนเธอกลับหยุดช่วยอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้นที่เขาต้องแวะไปรับน้องชาย เขาก็มักเห็นเธออยู่บ่อย ๆ ได้เห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอ ได้เห็นสิ่งเธอทำในแต่ละวันหลังเลิกเรียน ให้นึกเขาก็ยังจำมันได้ หลังเลิกเรียนอย่างแรกที่เธอทำคือไปสั่งสตอเบอร์รี่สดปั่น ก่อนจะเดินไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนสอนพิเศษใกล้ ๆ โรงเรียนกับเพื่อนสนิทของเธอ และก็เป็นโรงเรียนเดียวกับที่น้องชายของเขาลงเรียนไว้
เขาได้เห็นความเป็นอยู่ของเธอเกือบหนึ่งปีเต็มก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อต่างประเทศ นั่นคงเป็นช่วงเวลาที่เธอเริ่มเข้ามาอยู่ในใจเขาอย่างไม่รู้ตัว
“สรุปแล้วคุณจีบฉันก่อนสินะ”
“อืม”
“แล้วคุณจีบฉันยังไงฉันถึงยอมคบกับคุณจนเราได้แต่งงานกัน คุณช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิฉันอยากรู้”
“ไว้คุณจำได้ คุณก็จะรู้เอง” ว่าพร้อมกับขยับตัวทำท่าจะนอน
“ไม่เอา ฉันอยากรู้ตอนนี้ คุณเล่าให้ฉันฟังหน่อย นะ ๆ”
“มันอาจจะช่วยให้ฉันจำเรื่องระหว่างเราได้มากขึ้นก็ได้”
“คุณไม่อยากให้ฉันจำได้หรอ” เมื่อเห็นเขายังนิ่งเธอจึงพูดต่อ
“เราคบกันก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อ”
“ตอนที่คุณกำลังขึ้นมหาลัย ก่อนที่คุณจะบินไปเรียนต่อ ทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น”
“เรียนต่อหรอ...” เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องเรียนต่อ เธอก็เริ่มจะเชื่อเขาจริงตามที่เขาพูด เพราะเธอไปเรียนต่ออย่างที่เขาว่าจริง และยิ่งเขาพูดถึงชื่อมหาลัยและที่พักเธอก็ยิ่งเชื่อเขาสนิทใจ
“เราพักอยู่ใกล้กัน”
“ผมทำงานที่นั่นต่อสามปีเพื่อรอให้คุณเรียนจบ ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน แล้วกลับมาอยู่ไทยด้วยกัน”
“เรื่องทั้งหมดมันก็มีเท่านี้”
“แต่คุณยังไม่เล่าเลยนะว่าคุณจีบฉันยังไง” คนที่ตั้งใจฟังอยู่นานร้องท้วง ถึงเขาจะยอมเล่าทุก ๆ อย่างให้เธอฟัง แต่เขาก็ไม่ยอมเล่าสักทีว่าเขาจีบเธอยังไง จีบเธอวิธีไหน ทำยังไงเธอถึงรับรักเขา
“ผมอยากแสดงให้คุณเห็นว่าผมจีบคุณยังไง ไม่ใช่แค่เล่าให้คุณฟัง” ว่าจบก็มองลึกลงไปในดวงตากลมสวยของคนตรงหน้า ก่อนจะเป็นเธอที่หลบสายตาเขาไปก่อน
“มะ หมายความว่ายังไง” สายตาของเขามันทำให้เธอใจสั่นจนต้องแสร้งมองไปทางอื่น ก่อนจะเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่สามารถต้านทานสายตาของผู้ชายคนนี้ได้เลย
“ก็หมายความว่าผมจะจีบคุณใหม่ไงล่ะ” ว่าจบก็ขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะโน้มตัวเข้ามาหาคนที่นอนตะแคงข้างอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าสวยหวานมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจ้าของใบหน้านั้นหลับตาปี๋ ก่อนจะกำผ้าห่มไว้แน่นด้วยความเกร็งเมื่อรับรู้ถึงลมให้ใจของเขาที่มันเริ่มเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอก็ไม่กล้าพอที่จะลืมตามองว่าเขาอยู่ใกล้เธอมากแค่ไหน...
“ฝันดีครับ เด็กดี” สัมผัสอ่อนโยนที่ศีรษะ ทำให้แพรลดาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะพบว่าเขาเพียงลูบหัวเธอเบา ๆ แล้วบอกฝันดีเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรที่มากกว่านั้น ไม่มีการจูบส่งเขานอนที่หน้าปาก หรือจูบปากอย่างที่เธอคิดแต่อย่างใด
“พี่จะไม่ทำอะไร จนกว่าเราจะพร้อม จนกว่าเราจะยอมรับความรักจากพี่”
“คนบ้า ใครบอกว่าฉันจะทำอะไรแบบนั้นกับคุณกัน”
“หึ”
