ไม่คาดคิด
เยอรมัน…
ติ๊ด! ฉันกดวางสายจากพ่อแล้วถอนหายใจออกมาแบบหมดอาลัยตายอยากพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แค่ได้ยินชื่อเขาก็รู้สึกจุกไปที่หัวใจ เมื่อไหร่นะ ไอ้อาการอกหักแบบนี้ถึงจะหายไปสักที
“เป็นอะไรไป ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น” แมรี่ละสายตาจากหนังสือกองโตแล้วหันมาถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ไม่มีอะไร เรามาติวหนังสือต่อเถอะ”
“…..”
ครืดดด ครืดดด โทรศัพท์เครื่องหรูก็แผดเสียงร้องดังขึ้นในขณะที่ฉันกับแมรี่กำลังนั่งอ่านหนังสือกันอยู่
“…..” ดวงตากลมโตมองซ้ายมองขวาด้วยอาการเลิ่กลั่กเมื่อเห็นหน้าจอโทรศัพท์ปรากฎชื่อของอากายที่โทรเข้ามา ฉันยกมือขยี้ตาไปมาหลายๆ ครั้ง เผื่อบางทีอาจจะคิดถึงเขามากจนตาฝาด แต่มันคือเรื่องจริง! อากายเป็นคนโทรมา
“ใครโทรมา ทำไมแกถึงไม่ยอมรับสาย”
“…..” ฉันเอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบ มองหน้าจอสมาร์ตโฟนอยู่แบบนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะกดรับสาย
“พ่อแกโทรมาหรอ?”
“เปล่าหรอก”
“แล้วใครโทรมา?”
“อากายโทรมา”
“ก็รับซะสิ ฉันเห็นเขาโทรมาตั้งหลายรอบแล้วนะ” แมรี่ตอบแบบไม่ใส่ใจแล้วหยิบขนมคบเคี้ยวที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมากินอย่างสบายใจ เพราะฉันไม่ได้เล่าถึงปัญหาของเราสองคนให้แมรี่ฟัง
“ไม่เอาอ่ะ ฉันไม่อยากคุยกับเขา” ไม่พูดเปล่าแต่ฉันยังเลือกที่จะปิดเสียงโทรศัพท์เพื่อไม่ให้ส่งเสียงรบกวน แต่มันก็ยังคงสั่นระรัวอยู่ดี
“เขามีธุระด่วนหรือเปล่า ถึงได้โทรจิกแกขนาดนี้”
“…..”
“รับเถอะน่า ถ้าแกไม่รับมีหวังวันนี้คงไม่ได้ทำอะไรกันพอดี” แมรี่พูดด้วยน้ำเสียงรำคาญเต็มทนเมื่ออากายยังคงโทรมาไม่หยุด ถ้าฉันเดาไม่ผิดที่ไทยตอนนี้ก็คงจะตีสองแล้ว นี่เขากะจะไม่หลับไม่นอนกันเลยหรือไง
“…..”
“รีบรับสิ รำคาญจะแย่อยู่แล้ว”
“ก็ได้ๆ ถ้างั้นฉันขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ”
“…..” ฉันคว้าโทรศัพท์แล้วเดินออกมาจากตรงนั้น โดยมีแมรี่คอยมองตามแผ่นหลังออกมา
ติ๊ด! ฉันตัดสินใจรับสายคนใจร้ายในที่สุด ถึงแม้จะโกรธแต่ในใจลึกๆ ก็ยังอยากคุยและอยากได้ยินเสียงเขา ไม่เจอกันตั้งนานไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง
(ทิชาช่วยคุยกับอาหน่อย) ปลายสายตอบกลับมาคล้ายกลับดีใจที่ฉันยอมรับสายในรอบหลายเดือน แล้วน้ำเสียงของเขาก็บ่งบอกว่าน่าจะเมามากอยู่พอสมควร
“ว่าไงคะ ทิชากำลังพูดอยู่ค่ะ”
(ทำไมหนูหายไปเลย ทำไมไม่ติดต่อหาอาบ้าง)
“ทิชาต้องเรียนหนังสือค่ะ แล้วทิชาก็ไม่มีอะไรจะคุยกับอาด้วย”
(ไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง ลำบากอะไรไหม สบายดีหรือเปล่า?)
“ทิชาสบายดีค่ะ”
(อาเป็นห่วงหนูนะ จะอยู่ยังไงจะกินยังไง)
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ทิชาโตแล้วดูแลตัวเองได้”
(อาขอโทษนะที่วันนั้นพลั้งปากพูดแรงไป)
“ช่างมันเถอะค่ะ ทิชาไม่อยากนึกถึงมันแล้ว” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
(เปิดกล้องหน่อยได้ไหม อาอยากเห็นหน้าหนู)
“ไม่เปิดค่ะ” ฉันรีบพูดตัดบทในทันที เพราะกลัวว่าเห็นหน้าเขาแล้วจะอดคิดถึงไม่ได้ คนอุตส่าห์จะลืมอยู่แล้วเชียว ไม่รู้ว่าจะพูดรื้อฟื้นตอกย้ำแผลเก่าของฉันทำไม
(ไหนเคยบอกว่ารักอา แล้วทำไมถึงทำแบบนี้)
“ก็ตอนนี้เปลี่ยนใจไม่รักแล้วไงคะ”
(ต้องให้อาทำยังไง หนูถึงจะยอมหายโกรธ)
“ทิชาไม่อยากคุยกับคนที่มีแฟนแล้ว แค่นี้นะคะ”
(เดี๋ยวก่อนทิชา อย่าเพิ่งวาง)
“…..” ฉันรีบกดวางสายแล้วรีบปิดเครื่องโดยที่ไม่รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ ถ้าเขาไม่ได้รักฉัน ไม่ได้เลือกฉัน ก็ไม่น่ามาทำให้คิดหรือหวังลมๆ แล้งๆ แบบนี้
“แกทะเลาะกับอากายเหรอ?” แมรี่เอ่ยถาม หลังจากที่ฉันเดินกลับเข้ามาด้วยท่าทางห่อเหี่ยว
“ไม่ได้ทะเลาะกันสักหน่อย”
“โกหก! ฉันดูก็รู้ว่าแกกำลังงอนเขาอยู่”
“…..”
“แกแอบชอบอากาย ทำไมฉันจะดูไม่ออก” แมรี่มองจ้องฉันอย่างจับผิด
“ชอบแล้วไง เขาไม่ได้ชอบฉันสักหน่อย” ฉันตอบอย่างปลงๆ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรด้วยซ้ำที่แมรี่รู้เรื่องนี้ ฉันกับมันเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันมาตั้งแต่อนุบาล มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร
“นี่แกเล่นรุ่นใหญ่เลยหรอทิชา นั่นรุ่นพ่อแกเลยนะ” แมรี่ทำหน้าสยองก่อนจะวางมือจากการอ่านหนังสือแล้วหันมองหน้าสวยๆ ของฉัน
“ผีตนใดไปเข้าสิงแกไม่ทราบ”
“ก็จะให้ทำยังไงได้ ใจมันรักไปแล้ว”
“เห้ออออ” นี่ไม่ใช่เสียงฉันนะ แต่เป็นเสียงถอนหายใจของยัยแมรี่ต่างหาก มันคงจะหมดหวังที่จะฉุดฉันขึ้นมาแล้วล่ะ
“แล้วตอนนี้เขาก็มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย” ฉันพูดออกมาจากใจเจ็บ เพียงเพราะฉันเป็นเด็กใช่ไหม ถึงไม่ได้ความรักจากเขา
“แล้วแกจะทำยังไงต่อล่ะ?”
“ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ”
“ฉันจะคอยดูล่ะกัน ว่าคนอย่างแกมันจะใจแข็งไปได้สักแค่ไหน”
“เออ! คอยดูแล้วกัน ฉันจะตัดใจจากเขาให้ได้” ฉันพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น อุตส่าห์หนีมาเยอรมันทั้งที ฉันจะหาให้ดีกว่าอากายให้ได้เลยคอยดู
“ไม่ใช่พอเขาบินมาง้อก็ยอมใจอ่อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรอกนะ”
“ไม่มีทาง”
“ไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม?”
“ไม่มีทางที่อากายจะบินมาง้อฉันต่างหากแหละ” ฉันตอบตามความเป็นจริง
อากายเป็นคนบ้างานเข้าขั้น เขาไม่มีวันที่จะลางานแล้วนั่งเครื่องบินข้ามน้ำข้ามทะเลหลายพันกิโลเมตรเพื่อมาหาฉันหรอก ฉันรู้ข้อนี้ดีแล้วก็ไม่เคยหวังลมๆ แล้งๆ อะไรแบบนี้ด้วย
“แล้วถ้าเขามาจริงๆ ล่ะ แกจะยอมคุยกับเขาดีๆ ไหม?”
“ไม่คุย ยังไงก็ไม่!” ฉันยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แล้วฉันจะคอยดู”
“…..”
เช้าวันต่อมา…
“อื้อออ” ฉันพลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังรบกวนอยู่ในขณะนี้
“ยัยทิชาตื่นเร็ว” เสียงของแมรี่ตะโกนดังขึ้นจนแสบแก้วหู ทำให้ฉันต้องตื่นลืมตาขึ้นมามองในทันที
“อะไรแมรี่คนจะหลับจะนอน”
“ตอนนี้สายแล้วไปหาอะไรกินกัน”
“แกไปก่อนเลยฉันยังไม่หิว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เมื่อคืนเผลอดูซีรี่ย์เกาหลีไปตั้งหลายตอน กว่าจะหลับก็ปาเข้าไปรุ่งสางพอดี
“งั้นแกจะกินอะไร เดี๋ยวฉันซื้อมาให้”
“อากาศหนาวๆ แบบนี้ขอซุปข้าวโพดกับขนมปังแล้วกัน”
“โอเค เดี๋ยวฉันรีบไปรีบมานะ”
“อืม”
ก๊อก! ก๊อก! ยังไม่ทันที่จะได้หลับสนิท เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นรบกวนอีกครั้ง คงจะเป็นยัยแมรี่ที่ลืมกระเป๋าเงินเหมือนอย่างเคย
ฉันหยัดตัวลุกขึ้นยืนด้วยอาการงัวเงีย แล้วเดินไปเปิดประตูให้เหมือนทุกครั้ง คอยดูเถอะแม่จะด่าให้หูชากันไปข้าง ไอ้นิสัยขี้ลืมทำไมถึงแก้ไม่ได้สักที
แกร้ก!
“แกความจำเสื่อมหรือไงแมรี่ถึงได้ชอบลืม…” ฉันสาดคำพูดใส่ยัยแมรี่รัวๆ แบบไม่ได้พักหายใจ แต่กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ฉันด่าไม่ใช่แมรี่แต่เป็นบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ
“อากาย!”
