คิดถึง ?
“ไหนเคยบอกกับพ่อว่าไม่อยากไป แล้วทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนใจล่ะ?” พ่อหันมาถามด้วยความสงสัย เพราะแต่ก่อนไม่ว่าจะยังไง ฉันก็หัวเด็ดตีนขาดปฏิเสธที่จะไปเรียนต่อที่เยอรมัน
“ทิชาแค่อยากไปหาประสบการณ์ เผื่อได้เจออะไรใหม่ๆ”
“คุณว่ายังไงฝัน อนุญาตให้ลูกไปไหม?” พ่อหันไปถามแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลของฉัน
“ฝันไม่อยากให้ลูกไปเลยค่ะ ฝันเป็นห่วงลูก”
“…..”
“อยู่เมืองนอกคนเดียวมันอันตรายนะ แล้วทิชาก็เป็นผู้หญิงด้วย ถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นจะทำยังไง”
“อยู่คนเดียวที่ไหนกันคะ มีแมรี่ไปด้วยต่างหาก”
“…..”
“ให้ทิชาไปเถอะนะคะ ทิชาดูแลตัวเองได้” ฉันรีบพูดแทรกขึ้น เมื่อเห็นว่าแม่มีสีหน้ากังวลและซีเรียสอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าพ่อกับแม่คิดถึง ก็แค่บินไปหาทิชาเอง”
“ปล่อยลูกไปเถอะฝัน ชีวิตเป็นของลูก ให้ลูกเลือกเอง”
“ถ้างั้นก็แล้วแต่เปรมเลยค่ะ”
“หนูหนีอากายไปแบบนี้ อากายก็เหงาแย่สิ”
“…..” ฉันชำเลืองตาไปมองอากายที่นั่งเงียบอยู่ ขนาดฉันบอกว่าจะไปเรียนต่อ เขายังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“ไม่มีเด็กแสบคอยป่วน จากนี้คงเหงาน่าดู จริงไหมไอ้กาย”
“ก็คงงั้นแหละ” อากายตอบกลับมาสั้นๆ แค่นั้น สีหน้าของเขายังคงเรียบนิ่งไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
“แล้วหนูจะไปวันไหน พ่อจะได้ให้เลขาเตรียมเอกสารไว้รอ”
“สอบเสร็จอาทิตย์หน้าก็คงจะไปเลยค่ะ”
“ทำไมไปเร็วนักล่ะ”
“หนูอยากไปเตรียมตัวก่อนน่ะค่ะ ไปอยู่ต่างถิ่นเลยไม่รู้ว่าต้องปรับตัวอะไรบ้าง”
“ถ้างั้นก็ตามใจ เดี๋ยวพ่อจัดการให้เอง”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
“…..”
หลายเดือนต่อมา…
คลับ
“เห้ยยย เบาก่อนมึง ค่อยๆ ยก” ทอยร้องปรามเพื่อนชายที่เอาแต่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแบบไม่พูดไม่จาตั้งแต่ที่มาถึง
“กูขออีกแก้ว” วรกันต์วางแก้วกระทบกับโต๊ะอย่างแรงด้วยอารมณ์หงุดหงิด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเขาก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปซะหมด
“แต่มึงเมามากแล้วนะ ยังจะเอาอีกเหรอ?”
“ชงมาเถอะน่า กูยังไหว”
“ไอ้ทอยพอได้แล้ว มันเมาจนนั่งจะไม่ไหวอยู่แล้ว มึงไม่แหกตาดูหรือไง!” ปกรณ์พูดแทรกขึ้นพลางกระชากแก้วเหล้าออกจากมือของเพื่อนชาย
“อย่าพูดมาก! บอกว่าไหวก็ไหวดิ”
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมพักนี้ดื่มหนักขนาดนี้” ปกรณ์ยังคงถามต่อ เมื่อเห็นท่าทางของวรกันต์ที่เปลี่ยนไป อาการของเพื่อนชายคลับคล้ายคลับคลาเหมือนที่เขาเคยเจอมาแบบไม่มีผิดเพี้ยน
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” วรกันต์นั่งจ้องหน้าจอสมาร์ตโฟนที่ปรากฏรายชื่อของทิชาอยู่แบบนั้น โดยที่ไม่กล้ากดโทรออกหาเธอ
NAMFON : อยู่ๆ กายก็หายไป เป็นอะไรหรือเปล่า
NAMFON : รับสายฝนหน่อยนะคะ ฝนเป็นห่วงคุณ
ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่สนใจข้อความของแฟนสาวที่ส่งมาแล้วกดปิดมันทิ้งอย่างไม่ใยดี
“เครียดเรื่องอะไรบอกกูได้นะ”
“…..” วรกันต์เลือกที่จะไม่ตอบแล้วหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแทน
“นั่นดิ ทำไมเดี๋ยวนี้มึงดื่มหนักจังวะ” เธนส์ที่นั่งเงียบอยู่นานพูดสมทบ ไม่ใช่แค่ปกรณ์ที่สงสัย พวกเขาก็สงสัยเหมือนกัน
“ก็แค่เบื่อๆ เซ็งๆ”
“เบื่ออะไรของมึง ปกติมึงไม่ดื่มขนาดนี้! ถ้าไม่ติดว่ามีแฟน กูคงคิดว่ามึงกำลังอกหักอยู่”
“ก็อาจจะใช่” ชายหนุ่มตอบกลับแค่นั้น พร้อมกับแค่นหัวเราะในลำคอแล้วพ่นควันบุหรี่ออกจากปากและจมูกแบบหนักๆ
“ทำไม มึงกับฝนทะเลาะอะไรกัน”
“กูไม่ได้ทะเลาะกับฝนหรอก”
“เอ้า! ถ้าไม่ใช่ฝนแล้วเป็นใคร…นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงแอบมีกิ๊กน่ะ”
“…..” สิ้นประโยคของเธนส์ ทุกคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นต่างพากันหันไปมองวรกันต์เป็นตาเดียว
“นี่มึงอยากเป็นเหมือนไอ้เปรมหรือไง ที่พอถูกจับได้ว่ามีกิ๊ก เมียก็หอบลูกหนีไปเมืองนอก นั่งร้องห่มร้องไห้เหมือนหมามาเป็นปีๆ”
“…..”
“สภาพมันตอนนั้นยิ่งกว่าหมาซะอีก”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกู!” ปกรณ์หันขวับไปถามเพื่อนชายด้วยสีหน้าเอาเรื่อง เมื่อถูกขุดถึงอดีตที่แสนเจ็บปวดของตัวเอง
“กูก็แค่ยกตัวอย่างให้มันเห็นภาพเฉยๆ แล้วมึงจะมาหงุดหงิดทำซากอะไร”
“…..” วรกันต์ยังคงนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่แบบนั้น ตั้งแต่ที่คนตัวเล็กหายไปจากชีวิต เขาก็รู้สึกเหมือนกับขาดอะไรบางอย่าง
“มึงบอกพวกกูมาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ทำไมมึงถึงได้เมาจนหัวราน้ำทุกวันขนาดนี้”
“…..”
ครืดดด ครืดดด สายเรียกเข้าของปกรณ์ดังขึ้น ทำให้บทสนทนาของพวกเขาต้องจบลงแค่นั้น ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือลูกสาวสุดที่รักของเขาเอง
“แป๊บนึงนะ ทิชาโทรมา”
“…..”
“ว่าไงครับคนสวยของพ่อ”
(ตอนนี้คุณพ่ออยู่ไหนคะ ถึงเสียงดังขนาดนี้) ปลายสายตะโกนตอบกลับมาเพื่อแข่งกับเสียงรอบข้างของผู้เป็นพ่อ
“พ่อมาประชุมที่คลับกับพวกอาๆ น่ะ ว่าแต่หนูเถอะ ดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่นอน”
(พ่อลืมไปแล้วหรือไงคะ ที่เยอรมันเพิ่งจะหกโมงเย็นเองนะ)
“จริงด้วย พ่อลืมไปเลย”
“…..” ทุกบทสนทนาจะมีวรกันต์ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เพราะตั้งแต่ที่หญิงสาวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เขาและเธอก็ไม่ได้คุยหรือติดต่อกันอีกเลย
(อย่าดื่มหนักนะคะ ทิชาเป็นห่วง)
“แค่พอจิบๆ ให้หายอยาก ไม่เมาหรอก”
(งั้นทิชาไม่กวนแล้วดีกว่า แค่นี้นะคะ)
“เดี๋ยวก่อนทิชา”
(…..) ปลายสายเงียบ เพื่อรอฟังว่าผู้เป็นพ่อจะพูดอะไรต่อ
“ตอนนี้อากายนั่งอยู่ข้างๆ พ่อ หนูอยากคุยกับอากายไหม?”
“…..” เพียงแค่คิดว่ากำลังจะได้ยินเสียงหวานของคนตัวเล็ก หัวใจแกร่งก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเริ่มรู้สึกประหม่า
“ตั้งแต่ไปเยอรมัน หนูยังไม่ได้คุยกับอากายเลยนะ” ปกรณ์เหลือบสายตาหันมามองเพื่อนชายที่นั่งข้างๆ
(เอ่อ…ตอนนี้อากายก็อยู่กับพ่อเหรอคะ)
“ว่าไง หนูอยากคุยกับอากายไหม?”
“…..”
(ไม่ดีกว่าค่ะ ทิชาไม่อยากคุย)
ติ๊ด! สิ้นประโยคนั้น คนตัวเล็กจึงรีบกดวางสายในทันที ทำเอาวรกันต์ถึงกลับต้องรีบยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อไล่อาการบางอย่าง
“ทิชาวางสายไปแล้ว” ปกรณ์หันไปบอกบอกเพื่อนชายที่กำลังนั่งกอดอกหลับตาเอนหลังพิงกับโฟซา เขาเลยมองไม่ออกว่าตอนนี้เพื่อนชายรู้สึกยังไง
“มึงกับทิชาทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”
“…..”
“ดูเหมือนว่าลูกกูจะโกรธอะไรมึงอยู่หรือเปล่าถึงไม่อยากคุย”
“ปล่อยไปก่อน รอให้กลับมาค่อยเคลียร์กันทีเดียว”
“…..”
