อกหัก
“แล้วถ้าอาเบื่อทิชามากนัก ต่อจากนี้หนูก็จะไม่มาให้อาเห็นหน้าอีก”
“…..”
ปึ้ง! ฉันปิดประตูเสียงดังสนั่น ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องเพื่อเก็บของ แต่เชื่อไหมว่าอากายใจร้ายกว่าที่คิด เพราะเขาไม่ได้ตามมาง้อฉันเลยด้วยซ้ำ
ลำพังแค่สารภาพรักก่อนก็ว่าแย่แล้ว แต่เขาดันปฏิเสธไล่ตะเพิดกลับบ้านมันกลับรู้สึกแย่ยิ่งกว่า มันทั้งเจ็บแล้วก็ทั้งอาย
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือเก็บของแล้วรีบออกจากคอนโดให้เร็วที่สุด เพราะโดนเขาไล่ขนาดนี้ ฉันคงไม่กล้าหน้าด้านอยู่ต่อหรอก
ในสายตาของเขา ฉันก็คงจะเป็นแค่เด็กแก่แดดที่ไปแอบชอบผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อ แต่แล้วไงล่ะ! ความรักมันห้ามกันได้ที่ไหน
แกร้ก! ฉันเปิดประตูห้องออกมาพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ที่อยู่ในมือ แน่นอนว่าอากายกอดอกนั่งมองฉันอยู่แบบนั้น โดยที่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ นี่ฉันกำลังหวังลมๆ แล้งๆ อะไรอยู่กันแน่
“เดี๋ยวอาไปส่ง”
“ก็บอกไปแล้วไงคะว่าทิชากลับเองได้” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหมางเมินโดยไม่หันไปมองหน้าเขาแต่อย่างใด แต่ในใจลึกๆ ก็แอบมีความหวัง
“แต่พ่อของหนูฝากฝังให้อาดูแล ยังไงอาก็ต้องไปส่ง”
“ที่อยากไปส่งเพราะมันเป็นแค่หน้าที่หรอคะ?”
“ครับ” อากายตอบกลับมาสั้น โดยที่สีหน้าเรียบนิ่งไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
“ถ้างั้นก็ไม่จำเป็นค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน!”
“…..” ฉันหันขวับกลับไปมองเมื่อถูกอากายคว้าแขนเอาไว้ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องมา
“แค่อาไม่รับรัก หนูต้องโกรธอาขนาดนี้เลยเหรอ?”
“…..” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น หลังจากที่อากายพูดจบประโยคนั้น
“ก่อนที่หนูจะเดินออกไป ช่วยตอบคำถามมาก่อนว่าอาผิดอะไร?” อากายเดินมาขวางประตูเอาไว้ พร้อมกับมองจ้องหน้าฉันอย่างต้องการคำตอบ
“มะ…ไม่ค่ะ คุณอาไม่ผิดอะไรเลย” ฉันก้มหน้าร้องไห้สะอื้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้เป็นอย่างที่อาพูด เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ ถ้ามันจะผิดก็คงผิดที่ฉันคนเดียว ผิดที่แอบรักเขาข้างเดียว
“ทิชามันงี่เง่าเองที่ต้องการให้อารัก”
“อามันก็แค่ผู้ชายแก่ๆ คนนึง แล้วดูหนูสิทั้งสาวทั้งสวย เราไม่มีอะไรเหมาะสมกันเลยสักนิด”
“ฮึกกก ทิชาไม่สน ทิชารักคุณอา” ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่ออากายเดินมาสวมกอดพร้อมกับลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน
ก็เพราะว่าเป็นแบบนี้ไง ฉันถึงตกหลุมรักเขาจนไปไหนไม่ได้ แต่ก็ต้องมาผิดหวังตั้งแต่รักครั้งแรก มันจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหม…
“ตัดใจจากอาซะเถอะนะ ในอนาคตหนูยังต้องเจอผู้ชายอีกมากมาย อย่าเอาชีวิตที่มีค่าของหนูมาผูกมัดอะไรกับอาเลย”
“…..” ฉันกอดเขาให้แน่นขึ้นราวกับว่ามันเป็นกอดสุดท้าย ยังไงก็ยืนยันว่าฉันรักผู้ชายคนนี้
“ลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมา แล้วกลับไปเป็นหลานที่น่ารักของอา เหมือนเดิม”
“…..”
หลายสัปดาห์ผ่านไป…
“คุณแม่ คุณพ่อออออ” ฉันส่งเสียงร้องเรียกด้วยความดีใจเมื่อเห็นท่านทั้งสองเดินเข้ามาในบ้านหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานหลายเดือน
“คิดถึงหนูจังเลย มาให้พ่อหอมหน่อยสิ”
ฟอด! พ่อเดินเข้ามากอดแล้วหอมแก้มฉันอย่างแรงด้วยความคิดถึง ไม่ใช่แค่พ่อที่คิดถึงแต่ฉันก็คิดถึงพ่อกับแม่ด้วยเหมือนกัน
“ไม่เจอกันนานลูกผอมลงหรือเปล่า?” แม่ทักขึ้น พลางจับตัวฉันให้หมุนรอบๆ ไปมาเพื่อสำรวจร่างกายที่เปลี่ยนไป ก็ใช่น่ะสิ น้ำหนักฉันลดไปตั้งหลายกิโล!
“ช่วงนี้กินอะไรไม่ค่อยลงน่ะค่ะ” ฉันยิ้มกว้างตอบกลับ แล้วพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“อาการคุณตาเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ดีขึ้นแล้วลูก ดูเหมือนว่าร่างกายคุณตาจะตอบสนองการรักษามากขึ้นกว่าเดิมด้วย”
“ดีจังเลยค่ะแม่ ถ้าเป็นแบบนี้ อีกไม่นานคุณตาก็คงจะหายแล้วใช่ไหม?”
“แม่ก็หวังให้มันเป็นแบบนั้น”
ใบหน้าแสนหวานเปื้อนรอยยิ้มกว้างในรอบหลายเดือนเมื่อได้ยินข่าวดี ถ้าเป็นเหมือนที่แม่บอก คุณตาต้องหายจากโรคร้ายที่เป็นอยู่แน่ๆ
“คุณช่วยโทรตามไอ้กายให้มาทานข้าวเย็นที่บ้านทีนะ พอดีว่าผมมีเรื่องอยากจะคุยกับมันสักหน่อย”
“เดี๋ยวฝันโทรตามให้ค่ะ”
“…..” ฉันหยุดนิ่งไปเมื่อได้ยินชื่อของผู้ชายคนนั้นแต่แล้วจู่ๆ ความรู้สึกมันก็เริ่มห่อเหี่ยวขึ้นมาเสียดื้อๆ
ตั้งแต่วันนั้น เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเพราะฉันเองที่เป็นฝ่ายบ่ายเบี่ยงไม่อยากเจอเขา ฉันไม่กล้าที่จะมองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างที่เหมือนจะดีมันกลับแย่ลงไปหมด อาจจะเป็นเพราะฉันที่ทำใจไม่ได้เอง
“พ่อไม่อยู่ตั้งนาน เป็นเด็กดีกับอากายหรือเปล่า?”
“ทิชาเป็นเด็กดีอยู่แล้วค่ะ”
“แล้วอากายดูแลหนูดีไหม?”
“ดูแลดีค่ะ”
“พ่อคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ฝากหนูไว้กับอากาย”
“…..” ฉันถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อยังคงคิดถึงเรื่องของเขาอยู่ทุกนาที อาการของคนอกหักมันทำให้เราเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
ห้องทานอาหาร…
“ขอโทษทีนะที่ต้องให้ฝันโทรตามมึงด่วน” เสียงของพ่อดังขึ้นเมื่ออากายเดินเข้ามาในบ้าน
หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเมื่อเขาหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามฉันแบบพอดิบพอดี
“ไม่เป็นไรช่วงนี้กูว่าง ว่าแต่มึงเถอะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” อากายตอบแค่นั้น ก่อนจะปรายสายตามองมาทางฉันที่นั่งอยู่
“เดี๋ยวค่อยไปคุยในห้องกันแบบส่วนตัว”
“…..” อากายพยักหน้ารับแล้วจ้องหน้าฉันอยู่แบบนั้น สายตาที่เขามองมามันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเกร็งมากขึ้นไปอีก
“ฝันขอถามอะไรหน่อยสิ” เสียงของแม่ดังแทรกขึ้นมาทำให้เขาตื่นจากภวังค์แล้วหันไปมองหน้าแม่ฉันแทน
“ว่ามาสิอยากถามอะไร?”
“ตอนนี้กายกับคุณน้ำฝนเป็นอะไรกัน?”
“กำลังคบกันอยู่น่ะ”
“ฝันว่าแล้วเชียว แอบไปเห็นในไอจีของคุณน้ำฝน เห็นชอบไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”
“…..” ฉันลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่พร้อมกับความรู้สึกที่จุกอยู่ในลำคอเมื่อได้ยินบทสนทนาของแม่กับอากายที่พูดคุยกัน
“จะว่าไปก็เหมาะสมกันดีนะ ฝันเชียร์คนนี้”
“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เพิ่งจะคบกันเอง”
“ถ้ากายไม่ชอบใครคงไม่ขอคบหรอกจริงไหม?”
เคร้ง! ฉันวางช้อนส้อมกระทบกับจานอย่างแรงแบบตั้งใจ ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคนที่นั่งอยู่
“ทิชาอิ่มแล้วนะคะ”
“ทำไมล่ะลูก เพิ่งกินไปได้นิดเดียวเองนะ” แม่เอ่ยถาม
“พอดีว่าไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ รู้สึกกินอะไรไม่ค่อยลง”
“เป็นอะไรไป ทำท่าทางอย่างกับคนอกหัก” พ่อพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูหมดอาลัยตายอยากของฉัน
“ใช่ค่ะ! ทิชาอกหัก” ไม่พูดเปล่าแต่ฉันยังกระแทกเสียงใส่ใครบางคนที่นั่งอยู่ แล้วฉันก็คิดว่าเขาก็คงจะรู้ตัว
“แล้วแอบไปมีแฟนตอนไหน ทำไมพ่อถึงไม่รู้เรื่อง”
“ไม่ใช่แฟนหรอกค่ะ ทิชาแอบรักเขาข้างเดียว”
“อะไรกัน ลูกสาวของพ่อทั้งสวยและน่ารักขนาดนี้ ยังมีผู้ชายกล้าปฏิเสธอีกเหรอ?”
“ใช่ค่ะ เขาปฏิเสธความรักของทิชาแล้วตอนนี้เขาก็ไปมีแฟนใหม่แล้วด้วย” ฉันพูดอย่างตัดพ้อ พลางทำสีหน้าเศร้าสร้อย เพราะไม่คิดว่าเขาจะหาผู้หญิงคนใหม่ได้เร็วขนาดนี้
“ก็ช่างหัวมันสิ ไม่ต้องไปเสียใจ ผู้ชายมีมากกว่าฝูงหมา ลูกสาวของพ่อหาใหม่ได้สบายๆ อยู่แล้ว”
“…..”
“แล้วทิชาก็มีเรื่องสำคัญอยากจะบอกพ่ออีกเรื่องด้วยนะคะ”
“ว่ามาสิ จะบอกอะไร?”
“ทิชาคิดไว้แล้วค่ะ ว่าอยากจะไปเรียนต่อที่เยอรมัน”
สิ้นประโยคนั้นอากายก็เอาแต่นั่งก้มหน้าเงียบไม่พูดอะไรออกมา ฉันตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบแล้วว่าจะขอไปเรียนต่อที่นั่น เพื่อทุกอย่างมันจะดีขึ้น แล้วเขาคงจะดีใจมากที่ตัดเสี้ยนหนามอย่างฉันออกไปจากชีวิตได้สักที….
ในเมื่อเขาไม่สนใจฉัน มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องไปสนใจเขาอีกต่อไป
“…..”
