Chapter 2 โจรล้วงกระเป๋า
ผู้คนที่ทางเดินระหว่างตึกแผนกฉุกเฉินและอาคารผู้ป่วยในมีมากกว่าทุกวัน เนื่องจากวันนี้มีตลาดนัดสินค้าโอทอปและสินค้าออแกนิกมาวางขายตามโครงการของโรงพยาบาล ร่างอรชรปล่อยจิตใจล่องลอยไปในภวังค์ความคิด จนไม่ทันได้รู้ตัวว่ากระเป๋าเป้สะพายหลังของตนถูกมือดีรูดซิปลง
ทินกรซึ่งกำลังหาซื้อยานวดสมุนไพรไปให้แม่อยู่นั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็นนักศึกษาสาวคนหนึ่งกำลังจะถูกมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาในโรงพยาบาลล้วงกระเป๋า เขาเดินไปประชิดชายร่างท้วมคนนั้น แล้วจับมืออีกฝ่ายไว้แน่นก่อนที่มันจะหยิบสิ่งใดออกมาจากกระเป๋าเธอ
“จะทำอะไร” เขาถามเสียงเรียบ
“ปล่อยกู” ชายคนนั้นพูดเสียงลอดไรฟัน สีหน้าขึงขังราวกับกำลังข่มขู่คน
กิ่งกมลหันกลับมาดูเมื่อรู้สึกได้ว่ากระเป๋าของเธอถูกใครบางคนดึงรั้งไว้ ผู้ชายสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ เธอปลดกระเป๋าเป้ออกจากบ่าแล้วเอามาไว้ด้านหน้า พบว่าซิปได้ถูกรูดลง เธอตรวจดูข้าวของข้างในทันที
“มีของหายไหม” ทินกรถามพลางชำเลืองมองเล็กน้อย
เธอส่ายหน้าพรืด “ไม่มีค่ะ”
เจ้านักล้วงกระเป๋าที่แฝงตัวมาในคราบของญาติคนไข้ พยายามสะบัดมือให้หลุดจากการจับยึดของชายที่ตัวโตกว่า “กูบอกให้ปล่อย ถ้าไม่ปล่อยมึงโดนดีแน่”
เสียงเอะอะโวยวายของชายคนนั้นเรียกสายตาอยากรู้อยากเห็นจากผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี กิ่งกมลเห็นท่าไม่ดีจึงตะโกนออกไป “ช่วยเรียก รปภ. ทีค่ะ ผู้ชายคนนี้เป็นโจร”
“มึงอย่ามาพูดมั่วๆ นะ กูไม่ใช่โจร” เขาเถียงคอเป็นเอ็น ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับความผิดแน่นอน
“หากไม่ใช่โจรแล้วไปเปิดกระเป๋าของน้องคนนี้ทำไม” ทินกรถามจี้ เขาเห็นเต็มสองตาไอ้โจรบ้านี่ยังจะมาแถอีก
“ก็เห็นกระเป๋ามันเปิดอยู่ ก็เลยว่าจะช่วยปิดให้” ชายร่างท้วมเริ่มเลิ่กลั่ก แก้ตัวข้างๆ คูๆ
คิ้วโก่งดั่งคันศรเลิกขึ้นเล็กน้อย เธอจำได้ว่าปิดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วนี่นา มันจะเปิดเองได้ยังไงกัน “ฉันรูดซิปกระเป๋าแล้วนะคะ ฉันมั่นใจว่าไม่ได้เผลอเปิดทิ้งไว้แน่นอน”
ไม่นานเกินรอ รปภ. ก็มาถึง ทินกรส่งตัวคนร้ายให้พวกเขาเอาไปจัดการต่อ หากตรวจสอบกล้องวงจรปิดดูคงจะพบหลักฐานการทำผิดและพบผู้เสียหายเพิ่ม เมื่อจัดการกับโจรนั่นได้ กิ่งกมลก็ยกมือไหว้ขอบคุณชายหนุ่มที่ช่วยเหลือตนไว้ แล้วจึงรีบกลับบ้านก่อนที่มันจะมืดค่ำไปมากกว่านี้
วันรุ่งขึ้นหญิงสาวก็ไปยังบริษัทที่มาฝึกงานตามปกติ เธอเข้าไปขอโทษหัวหน้าแผนกที่เมื่อวานหนีกลับก่อนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า อีกฝ่ายไม่ได้ตำหนิเธอมากมายอะไรนัก เพียงแค่ตักเตือนว่าคราวหน้าอย่าได้ทำแบบนี้อีก
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะน้องกิ่ง ถูกพี่คมสันบ่นมาเยอะไหม” แก้วตา ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสาวโสดวัยสามสิบห้าปีแห่งฝ่ายการตลาดถามอย่างเป็นห่วง
กิ่งกมลยิ้มแหย “โดนมานิดหน่อยค่ะพี่ตา”
“เอาน่า พี่คมสันแกก็ทำเข้มไปอย่างนั้นเอง จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก” กล่าวพลางตบไหล่หญิงสาวเบาๆ “ว่าแต่เมื่อวานมีธุระด่วนอะไรเหรอ ทำไมถึงได้รีบร้อนออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว แถมไม่โทรมาบอกพี่ด้วย”
ใบหน้าสวยสลดลง แก้วตาเป็นพี่เลี้ยงที่ช่วยดูแลสอนงานเธอในช่วงฝึกงาน การที่เธอหายไปแล้วไม่บอกกันก่อน พี่ตาต้องถูกหัวหน้าดุมาเหมือนกันเป็นแน่ “เอ่อคือ... พ่อกิ่งเข้าโรงพยาบาลค่ะ”
“เฮ้ย! แล้วพ่อเป็นไงบ้าง” แก้วตาถามด้วยความเป็นห่วง จากประวัติส่วนตัวของกิ่งกมล เธอรู้มาว่าสาวน้อยคนนี้อยู่กับพ่อแค่สองคน ไม่แปลกเลยที่อีกฝ่ายจะรีบร้อนกลับไปเช่นนั้น “หมอบอกว่าพ่อเป็นอะไร วันนี้กิ่งไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลอีกวันก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปพูดกับพี่คมสันให้เอง”
กิ่งกมลยิ้มเศร้า เธอเองก็อยากไปอยู่เฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลเหมือนกัน แต่ก็เกรงใจทุกคน อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนแนะนำบริษัทนี้ให้เธอมาฝึกงานเนื่องจากมีค่าตอบแทนให้แก่เด็กฝึกงาน แต่เพราะมีค่าตอบแทนให้นี่แหละ หน้าที่รับผิดชอบของเธอจึงไม่ต่างจากพนักงานคนหนึ่งของบริษัท
“พ่อกิ่งเป็นมะเร็งตับค่ะ”
เสียงตอบสั่นเครือจากคนตรงหน้าส่งผลให้แก้วตาดึงเธอเข้ามากอดปลอบทันที “กิ่งไม่เป็นไรนะ มีอะไรให้พี่ช่วยไหม”
กิ่งกมลมาฝึกงานสหกิจศึกษาเป็นเวลาสี่เดือนตามหลักสูตร หลายเดือนที่ทำงานด้วยกันมาทำให้แก้วตาเอ็นดูน้องนักศึกษาคนนี้ไม่น้อย ด้วยความที่หญิงสาวทำงานเก่ง ทำงานเรียบร้อย รอบคอบ และยังมีสัมมาคารวะกับผู้หลักผู้ใหญ่ ที่สำคัญอีกฝ่ายมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ดีเยี่ยม จึงสามารถช่วยงานเธอได้มากเลยทีเดียว
“สองสาว เลิกกอดกันแล้วลงไปช่วยงานฝ่ายบุคคลที่ชั้นล่างหน่อย คนของทางนั้นไม่พอ เขาเลยโทรมาขอคนจากแผนกเรา” คมสันหัวหน้าแผนกวัยสี่สิบสั่งเสียงเรียบ
แก้วตาผละออกจากร่างนุ่มนิ่มของกิ่งกมล แล้วหันไปต่อรองกับหัวหน้าที่ทำงานด้วยกันมาเป็นสิบปี “โธ่พี่ คนอื่นก็ว่างให้ไปแทนตากับกิ่งไม่ได้เหรอ เนี่ยตายังทำรายงานสินค้าของเดือนนี้ไม่เสร็จเลยนะ วันศุกร์ต้องใช้ในการประชุมแล้วด้วย”
คมสันส่งสายตาเชือดเฉือนไปให้แม่ปลาไหลของแผนก ไม่ว่าจะใช้งานอะไรต้องหาข้ออ้างทุกทีสิน่า “ตานั่นแหละไป ขืนให้คนอื่นไปได้โดนคุณพริ้งกินหัวแน่ มีแต่ตานี่แหละที่พอจะรับมือกับทางนั้นได้ ส่วนเรื่องรายงานสินค้าพี่จะให้คนอื่นรับผิดชอบต่อก็แล้วกัน ทำเกือบเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พี่คมสัน ไหนๆ ก็จะให้คนอื่นรับผิดชอบต่อแล้ว ก็เอางานที่ต้องไปสำรวจตลาดในวันพรุ่งนี้ไปด้วยสิคะ” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ใส่พี่ใหญ่ประจำแผนก แสดงสีหน้าสลดประหนึ่งสาวน้อยผู้น่าสงสาร งานที่เธอเกลียดที่สุดคือต้องออกไปสำรวจความพึงพอใจของลูกค้าตามบูธกับฝ่ายขายนี่แหละ สู้นั่งทำงานเอกสารในออฟฟิศยังจะดีกว่า
“ตานั่นแหละไปอย่าเรื่องมาก อยากได้เงินเดือนเพิ่มไหม ถ้าอยากก็อย่าบ่น” กล่าวจบคมสันก็หนีกลับไปที่โต๊ะทำงานของตน
แก้วตาบ่นอุบอิบไปตลอดทางตั้งแต่ชั้นเจ็ดจนลงมาถึงชั้นหนึ่ง “กะอีแค่จัดงานเลี้ยงครบรอบบริษัทแค่นี้ แต่ฝ่ายบุคคลไม่มีปัญญาจัดการเองได้จนต้องไปขอคนของแผนกอื่นมาเนี่ยนะ เรื่องแค่นี้ก็จัดสรรงานไม่ได้ ยังจะมานั่งชูคอในตำแหน่งหัวหน้าอีก”
“พี่ตาเบาหน่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า” กิ่งกมลเตือนเสียงอ้อมแอ้ม เธอรู้ว่าแก้วตาไม่ถูกกันกับพริ้งพราวหัวหน้าฝ่ายบุคคล ไม่รู้ว่าที่เรียกพวกเธอลงมาช่วยงานครั้งนี้เพราะคนไม่พอ หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นกันแน่
บริษัทพีพีเอลคอนสตัคชั่น เป็นบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก ติดหนึ่งในสิบบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ดีที่สุดของประเทศ ทว่านอกจากงานรับเหมาก่อสร้างแล้วยังผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างและของตกแต่งบ้านอีกด้วย งานครบรอบยี่สิบปีของบริษัทจึงถูกจัดขึ้นที่ชั้นหนึ่งของตึก โดยจะมีการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้าและเลี้ยงเพลพระ จากนั้นก็จะมีการเลี้ยงอาหารกลางวันพนักงาน
“มาแล้วเหรอจ๊ะตา” พริ้งพราวจีบปากจีบคอเรียกคู่อริตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
แก้วตาเบ้ปากมองบน ตั้งแต่เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดคนนี้แอบกินแฟนเธอตอนสมัยเรียน จากนั้นพวกเธอก็ไม่ถูกกันอีกเลย ส่วนใหญ่จะเป็นพริ้งพราวที่ชอบหาเรื่องก่อนเสมอ “จะให้ทำอะไรก็ว่ามา ฉันจะได้รีบทำรีบไป เบื่อบรรยากาศแถวนี้ มีแต่มลพิษ”
“ริต้า มีอะไรให้กิ่งช่วยไหม” กิ่งกมลเห็นท่าไม่ดีจึงแสร้งหันไปถามนักศึกษาฝึกงานอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เพื่อหยุดการทะเลาะกันของสองเจ้าแม่ขาวีน ซึ่งมันก็ได้ผล แก้วตาเลิกสนใจจะต่อล้อต่อเถียงกับพริ้งพราวแล้วเดินไปช่วยพนักงานคนอื่นๆ ทำงาน
ลลิตาเพื่อนร่วมคณะหันมามองเล็กน้อย ตอบเสียงเรียบว่า “มีสิ มาช่วยยกของหน่อย”
เธอเดินนำกิ่งกมลไปยังห้องประชุมเล็กชั้นสี่ นิ้วเรียวชี้ไปยังลังกระดาษขนาดใหญ่ซึ่งวางอยู่ตรงมุมห้อง “ช่วยยกลังนี่ไปไว้ตรงที่เขาจัดให้เป็นที่สำหรับพระสวดนะ” สั่งเสร็จก็ยกลังที่มีขนาดเล็กกว่ากันมากแล้วเดินออกไป โดยไม่คิดที่จะถามว่าอีกฝ่ายจะยกคนเดียวไหวไหม