อุบายรักกับดักลวงใจ

60.0K · จบแล้ว
ถานเซียง
26
บท
4.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

คำโปรย อินทุภาลากหนุ่มหล่อที่เจออยู่หน้าบาร์โฮสต์กลับมายังโรงแรม เพราะเข้าใจว่าเขาทำงานอยู่ที่นั่น แล้วเธอกับเขาก็มีวันไนท์สแตนด์กัน แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องผิดพลาดที่เธอทำเพราะความเมาในคืนนั้น จะตามมาทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหวได้อีกครั้ง ทิวากรเคยคิดว่าตัวเองจะไม่สามารถชอบใครได้อีกหลังจากโดนอดีตคู่หมั้นหักหลัง ทว่าสาวสวยที่เขาพบโดยบังเอิญในคืนนั้น เธอทำให้หัวใจที่เย็นชาของเขากลับมาเต้นระรัวราวกับเด็กหนุ่มเพิ่งหัดมีความรัก แต่เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็คล้ายกับฝันตื่นหนึ่ง เธอโบยบินไปจากเขาไม่หลงเหลือร่องรอยให้ติดต่อ เมื่อโชคชะตาทำให้เขาและเธอได้พบกันอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือไปอีกเด็ดขาด

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันประธานรักหวานๆรักแรกพบเศรษฐีโรแมนติก

ตอนที่ 1 ทริปฮ่องกง

“ยายเอม ไปขอพรเนื้อคู่กัน” อินทุภาซึ่งกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในฮ่องกงอยู่นั้น ก็เงยหน้ามองคนพูด ตอบเสียงเรียบว่า “ฉันมีแฟนแล้ว ต้องไปขอทำไม”

“แต่ฉันยังไม่มี ฉันอยากไปขอพรด้ายแดงมานานแล้วนี่นา มีโอกาสมาถึงที่แล้วจะพลาดได้ยังไงกันล่ะ” พิมพิศามองค้อนอีกฝ่ายอย่างแง่งอน “ไปวัดหวังต้าเซียนด้วยกันนะ แกมีแฟนแล้วก็ไปขอลูกก็ได้นี่ ไม่ใช่ว่าแกจะคุยเรื่องแต่งงานกับพี่พลเร็วๆ นี้เหรอ”

ความจริงแล้วพิมพิศาไม่ชอบใจแฟนหนุ่มของอินทุภาสักเท่าไรนัก เธอพอจะมองออกว่าเขาเป็นพวกเจ้าชู้ แต่ตอนที่เพื่อนเธอลำบากเขาก็อยู่เคียงข้างและคอยให้กำลังใจ เธอจึงพยายามมองข้ามความไม่ชอบใจนั้นไป เห็นอินทุภามีความสุข เธอก็ดีใจไปด้วย

“พูดอะไรของแก ฉันกับพี่พลเรายังไม่เคยสักหน่อย จะมีลูกได้ไง แล้วอีกอย่างฉันยังไม่พร้อมกับการแต่งงานหรอกนะ” ใบหน้าสวยหวานซับสีเลือดขึ้นมาโดยพลัน อินทุภาคบกับพลกฤตมาได้หนึ่งปีครึ่งแล้ว เขาเข้ามาในชีวิตเธอในวันที่เธออ่อนแอและอยู่เคียงข้าง ช่วยให้เธอผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่ไปได้ เธอจึงตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเขา หนำซ้ำเขายังเป็นผู้ชายคนแรกที่เธอเปิดใจคบด้วย

อินทุภาเป็นนักเขียนและนักแปลวัยยี่สิบห้าปีของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง พ่อแม่เธอแยกกันอยู่ตั้งแต่เธอเรียนอยู่มัธยมต้น แต่พวกเขาไม่ได้หย่าร้างกัน แม่ของอินทุภาเคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนจะลาออกเพราะปัญหาสุขภาพและเสียชีวิตลงด้วยโรคร้ายเมื่อหนึ่งปีก่อน โดยทิ้งบ้านหลังน้อยไว้ให้พร้อมกับเงินประกันชีวิตก้อนหนึ่ง หญิงสาวรักการเขียนมาตั้งแต่เด็กๆ หลังจากเรียนจบก็หันมายึดอาชีพนักเขียน เธอมีผลงานตีพิมพ์ตั้งแต่เรียนอยู่มัธยมปลาย แม่ของเธอก็สนับสนุนให้เป็นนักเขียนอาชีพอย่างเต็มที่ ค่าตอบแทนที่ได้จากสำนักพิมพ์แต่ละครั้งทำให้อินทุภาไม่เคยขัดสนเรื่องเงินเลย

พิมพิศามองค้อนพลางเค้นเสียงฮึในลำคอ เธอรู้ดีว่าอินทุภาจะไม่ยอมมีอะไรกับพลกฤตก่อนแต่งงานแน่นอน อีกฝ่ายเป็นคนค่อนข้างหัวโบราณ แต่ก็ไม่ได้อ่อนต่อโลกจนไม่รู้เรื่องพวกนี้ ความรู้ทางทฤษฎีเรื่องเซ็กส์นั้นอินทุภาถือว่าแตกฉาน เป็นเพราะต้องใช้ในงานเธอจึงต้องศึกษาไว้เพื่อเป็นความรู้

“ไม่ไปขอเนื้อคู่ ไม่ขอลูก อย่างนั้นก็ไปไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลละกัน”

“โอเค เชิญผู้เชี่ยวชาญนำทางเลยค่ะ” อินทุภากล่าวพลางผายมืออย่างล้อเลียน เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากพิมพิศาได้เป็นอย่างดี ปีนี้เธอถึงวัยเบญจเพสพอดี ไปขอพรสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน

หญิงสาวทั้งสองออกจากโรงแรมที่พักไปยังวัดหวังต้าเซียน กว่าจะไปถึงที่หมายก็เกือบเที่ยงเสียแล้ว นี่เป็นทริปแรกในรอบเจ็ดปีที่พวกเธอมาเที่ยวด้วยกัน หลังจากที่พิมพิศาไปเรียนต่อที่เมืองนอก อินทุภาซึ่งมีหญิงสาวเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเช่นกัน

เดิมทีอินทุภาต้องการมาเที่ยวฮ่องกงกับพลกฤต เธอตั้งใจจะมาฉลองวันเกิดให้เขาที่นี่ แต่เขาบอกว่าบริษัทส่งไปดูงานที่ญี่ปุ่นกะทันหัน เธอจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเขา ทว่าเธอแอบจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบินไว้แล้วจะยกเลิกก็เสียดาย ประจวบเหมาะกับที่พิมพิศากลับบ้านพอดี พวกเธอจึงมาเที่ยวด้วยกัน หลังจากสูญเสียมารดาไป อินทุภาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ที่บ้าน จะมีไปเดินห้างและออกไปกินข้าวนอกบ้านกับพลกฤตบ้างบางครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยบ่นที่เธอมีโลกส่วนตัวสูงแบบนี้ อาจเป็นเพราะอาชีพของเธอจึงทำให้ไม่จำเป็นต้องออกไปพบปะผู้คน

ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาไหว้พระขอพรที่วัดหวังต้าเซียน ร้านขายเครื่องรางตั้งเรียงรายกันอยู่มากมาย อินทุภามองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาเป็นประกาย เธอปรี่เข้าไปดูทันที มือเรียวหยิบเครื่องรางอันแล้วอันเล่าขึ้นมาดู ก่อนจะตัดสินใจซื้อน้ำเต้าหยกที่มีพู่ห้อยมาหนึ่งคู่

“เอม ทำไมแกเลือกอันนั้นล่ะ เอาอันนี้ไม่ดีกว่าเหรอ” พิมพิศายกกำไลขอมือที่ทำจากด้ายแดงซึ่งมีจี้ที่คล้ายกับแหวนเงินสองวงคล้องกันอยู่มาให้ดู “เอาอันนี้สิ นี่เป็นจี้ช่วยเรื่องความรักนะ”

อินทุภาส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับยกเครื่องรางที่ตัวเองเลือกขึ้นมาดูอีกครั้ง “อันนี้ก็ดีนะแก ช่วยในการเรียกทรัพย์ เงินทองจะได้ไหลมาเทมายังไงล่ะ” กล่าวจบก็เดินไปจ่ายเงิน โดยไม่สนใจเสียงบ่นอุบอิบของเพื่อนรัก

ทั้งคู่เดินเที่ยวชมจุดต่างๆ ในวัดอย่างเพลิดเพลิน จนที่สุดก็มาถึงรูปปั้นเทพจันทราที่พิมพิศาตั้งใจมาขอพร เธอจูงมืออินทุภาไปใกล้ บุ้ยปากให้เพื่อนสาวไปขอพร แต่อินทุภากลับส่ายหน้าปฏิเสธแล้วให้พิมพิศาไปคนเดียว เธอถอยออกไปยืนรออีกฝ่ายอยู่ห่างๆ

เมื่อไหว้พระขอพรเสร็จแล้วอินทุภาจึงชวนพิมพิศาไปนั่งรถรางชมเมือง จากนั้นก็หาอาหารจากร้านขึ้นชื่อกินแล้วจึงกลับไปพักผ่อนยังโรงแรม เพื่อจะได้มีแรงสำหรับการเที่ยวในวันถัดไป อินทุภาจองโรงแรมไว้สี่วันสามคืน วันที่สองของการท่องเที่ยวพวกเธอก็ไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ตามที่ได้วางแผนไว้ หญิงสาวสนุกมากจนลืมเรื่องของแฟนหนุ่มไปชั่วขณะ เธอไม่อยากโทรไปรบกวนเขา เพราะรู้ดีว่าเขาเองก็คงเหนื่อยจากการทำงานเหมือนกัน

ทว่าทริปท่องเที่ยวนี้ก็ต้องล่มกลางคัน เมื่อพิมพิศาต้องบินกลับนิวยอร์กในเย็นวันถัดมา เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของเธอ อินทุภาจึงอยู่เที่ยวต่อคนเดียวตามที่เพื่อนสาวบอก เธอจองตั๋วเครื่องบินแบบไปกลับจึงไม่อยากเลื่อนตั๋วให้ยุ่งยาก ที่สำคัญก็ไม่มีตั๋วเครื่องบินว่างด้วย

ร่างอรชรนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอย่างครุ่นคิด มือเรียวยกเครื่องรางที่ซื้อมาวันแรกขึ้นมาดู เธอตั้งใจซื้อไปฝากแฟนหนุ่มหนึ่งอัน มุมปากคลี่ยิ้มบางเบายามคิดถึงสีหน้าดีใจของเขาตอนได้รับของ

“อืม... ยังมีที่ไหนยังไม่ได้ไปอีกน้า พรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้วไปเที่ยวให้สนุกดีกว่า”

อินทุภาทักข้อความเฟสบุ๊คไปหาพลกฤต เธอคุยกับเขาอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงเข้านอน เธอไม่ได้บอกเขาว่ามาเที่ยวฮ่องกงกับพิมพิศา เขาจึงคิดว่าเธอยังอยู่ที่บ้านและบอกว่าจะซื้อน้ำหอมมาเป็นของฝากให้เธออีกด้วย นั่นทำให้หญิงสาวดีใจจนพูดไม่ออก

วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว อินทุภาหยิบหน้ากากอนามัยมาใส่ เธอรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อยเหมือนกับว่าโรคภูมิแพ้อากาศของเธอจะกำเริบอีกแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เพียงแค่ทำให้มีน้ำมูกและคัดจมูกเท่านั้น หญิงสาวเลือกไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งจากนั้นก็เดินช้อปปิ้งต่อ ทว่าเมื่อเดินมากๆ เข้าก็เริ่มปวดขา อินทุภาจึงเลือกเข้าไปนั่งพักที่ร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่ง

“อื้ม ขนมหวานนี่แหละเยียวยาทุกสิ่ง” นัยน์ตากลมโตหลับพริ้มลงดื่มด่ำไปกับรสชาติของเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม อินทุภากินไปพลางมองบรรยากาศโดยรอบร้านไปพลาง แต่แล้วความสุขของเธอก็ถูกขัดจังหวะ ในขณะที่เอี้ยวตัวมองไปด้านหลังนั้น กลับเห็นคนที่เธอเกลียดที่สุดเดินเข้ามาในร้าน มือเรียวหยิบหมวกแก๊ปสีดำขึ้นมาสวม โดยไม่ลืมที่จะดึงหน้ากากอนามัยขึ้นมาปิดจมูกเพื่อปกปิดใบหน้าไว้ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายทักทายตน อารมณ์ในการกินขนมหวานหมดไปในทันที จึงตั้งใจว่าจะออกไปจากร้าน แต่เธอกลับเหลือบไปเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินควงแขนกันเข้ามาในร้านเสียก่อน จากนั้นพวกเขาก็นั่งลงที่โต๊ะเดียวกันกับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเป็นโต๊ะตัวที่อยู่ด้านหลังเธอ

‘พี่พลมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมถึงไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับยายเมียน้อยนั่นล่ะ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร’

ความสงสัยมากมายพรั่งพรูเข้ามาใส่อินทุภา แต่เธอก็มีสติมากพอที่จะไม่ลุกขึ้นไปแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา ทำได้เพียงข่มความโกรธไว้ในใจแล้วพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกเขา

หมวกแก๊ป หน้ากากอนามัยและแว่นสายตาอันใหญ่ช่วยพรางใบหน้าของอินทุภาได้เป็นอย่างดี เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยทำทีเป็นเล่นโทรศัพท์

“เหนื่อยไหมครับแม่” พลกฤตถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

แม่? พวกเขาเป็นแม่ลูกกันเหรอ...

อินทุภาหูผึ่งทันทีที่ได้ยินคำเรียกนั้น มือของเธอกำลังสั่น เธอคบกับพลกฤตมาได้ปีครึ่ง ซึ่งก็เคยได้เจอกับครอบครัวของเขา ชายหนุ่มบอกว่าพ่อแม่เขาตายไปตั้งแต่เขาเด็กๆ จากนั้นก็ถูกผู้เป็นป้ารับไปเลี้ยงดู จะเป็นไปได้อย่างไรที่เมียน้อยพ่อจะเป็นแม่ของพลกฤต หากเป็นแบบนั้นจริง แสดงว่าอรอนงค์คงท้องตั้งแต่อายุสิบห้าเลยล่ะมั้ง

“แม่ไม่เหนื่อยหรอก แกไปดูแลหนูครีมเถอะ เมียแกร่างกายอ่อนแอ พามาเดินตะลอนๆ แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน” อรอนงค์แสร้งต่อว่าทีเล่นทีจริง แต่ในใจนั้นนึกดูแคลนหญิงสาวที่กำลังยิ้มหน้าบานยามเธอเรียกอีกฝ่ายว่าเมียของลูกชาย

“คุณแม่อย่าต่อว่าพี่พลเลยนะคะ เป็นครีมเองต่างหากที่ขอตามมาด้วย ปีนี้ครีมอยากฉลองวันเกิดให้พี่พลที่นี่น่ะค่ะ นี่ครีมเตรียมของขวัญไว้ให้ด้วยนะคะ ธุรกิจที่พี่พลบอกว่าจะทำ ครีมว่าจะขอเงินจากคุณพ่อมาร่วมลงทุนด้วยค่ะ น่าจะได้สักสิบล้าน”

“อุ๊ย! ถ้าอย่างนั้นแม่ก็มาเป็นก้างขวางคอผัวเมียเขาสินะ” น้ำเสียงประจบประแจงของหญิงวัยกลางคนทำให้อินทุภาถึงกับคิ้วกระตุก มือของเธอเย็นเฉียบยามได้ยินคำที่พวกเขาเรียกผู้หญิงคนนั้น