บทที่ 4 อยากให้ตาย
“พวกแกไปดูมาว่าเด็กๆเรียนที่ไหนพ่อจะให้คนจัดการให้อย่างเท่าเทียมกัน” นายบัณทูรบอกลูกชายทั้งสอง
“คุณพ่อหมายความว่ายังไงครับ”
“นี่คุณพ่อจะซื้อให้ไอ้เสือนั่นด้วยเหรอครับ” เมทัสถามพ่อด้วยความไม่พอใจ
“ใช่ พวกแกมีปัญหาหรือไง เจ้าเสือก็เป็นหลานพ่อคนหนึ่งในเมื่อยัยเมลี่กับเจ้าป้อมได้เจ้าเสือก็ต้องได้เหมือนกันสิ พ่อไม่ลำเอียงหรอก”
“แต่ว่าไอ้กาฝาก..”
“เจ้ารัต จะต้องให้พ่อพูดกี่ครั้งพวกแกถึงจะเข้าใจ ถ้าเรื่องมากก็ไม่ต้องเอาพวกแกก็ส่งลูกไปเรียนกันเอง” นายบัณทูรพูดกับลูกชายทั้งสอง
“ก็ได้ครับ” รณรัตจำใจยอมรับทั้งที่ในใจโกรธพี่ชายพี่สะใภ้และชยางกูรที่เข้ามาทำลายความฝันของพวกเขาเพราะมรดกของพี่ชายมีเป้นหมื่นล้านหากเกิดอะไรขึ้นก็จะตกเป็นของชยางกูรแทนที่จะเป็นของทายาทสายเลือดของ ปัญญาวนิชยา จริงๆมากกว่าจะเป็นของกาฝากอย่างชยางกูร
“งั้นไปจัดการให้เรียบร้อยแล้วมาบอกพ่อ”
“ครับ/ครับคุณพ่อ” เมื่อคุยกับพ่อเสร็จทั้งสองก็ขอตัวกลับบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ปัญญวนิชยา ที่นายบัณทูรซื้อให้ลูกชายทั้งสองตอนแต่งงานซึ่งราคาไม่ใช่น้อยรวมตกแต่งแล้วก็เกือบห้าร้อยล้านและเป็นหมู่บ้านคนมีเงินระดับเศรษฐีทั้งนั้น
“ผมละเกลียดไอ้กาฝากนั่นจริงเลยพี่รัต”
“พี่ก็เกลียดมัน คุณพ่อเป็นคนใจดีอยู่ด้วยไม่รู้ว่าแอบให้อะไรมันหรือเปล่า”
“ไม่ได้ให้หรอกครับ ผมแอบถามทนายแล้วว่าตอนนี้คุณพ่อยังไม่ได้ทำอะไรพินัยกรรมยังเป็นฉบับเก่าที่พวกเรารู้แต่พี่ยุทธกับพี่นิทำพินัยกรรมยกให้ไอ้กาฝากนั่นหมดเลย ผมล่ะอยากให้มันตายๆไปซะได้ก็ดี” เมทัสพูดด้วยความโกรธที่ชยางกูรได้สิทธิ์เหมือนลูกสาวของเขาทุกอย่างในฐานะหลานชายพ่อของเขา
“แกอย่าพูดไปนะทัส หากมีเหตุการ์เกิดขึ้นกับไอ้กาฝากนั่นจริงๆเราจะพากันซวยนะ ถึงอยากให้มันตายก็เก็บไว้ในใจ” รณรัตบอกน้องชายที่พูดไม่คิดหากใครมาได้ยินเข้าแล้วไปบอกพี่ชายหรือพ่อของเขาก็จะมีปัญหากันอีก
“ไม่มีใครได้ยินหรอกน่าพี่รัต ผมไปนะ” เมทัสมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครจึงเดินไปที่รถแล้วขับออกไปก่อนพี่ชาย
ชยานิมองตามหลังน้องชายของสามีทั้งสองขับรถออกไปจนลับประตูคฤหาสน์แล้วเดินออกมาจากมุมเสาที่มีซุ้มเถาวัลย์ปกคลุมหนาแน่นเป็นแนวยาวตามทางเดินข้างบ้านไปสระว่ายน้ำหลังบ้านเธอไม่ได้ตั้งใจแอบฟังเธอไปตัดดอกไม้มาใส่แจกันในห้องพระและแต่บังเอิญได้ยินจึงหยุดฟังก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านและคิดว่าจะต้องคุยให้สามีฟังและตอนนี้ลูกชายของเธอไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษและพักบ้านของคาลวินเพื่อนของสามีและอีกสองอาทิตย์จะกลับมาทำเรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษซึ่งเพื่อนของสามีช่วยติดต่อและพาไปสอบสัมภาษณ์และทุกอย่างก็ผ่านฉลุยสามารถเริ่มเรียนเยียร์สิบสามเทียบเท่ามอหกซึ่งอยู่วัยเดียวกับเจ็ทลูกชายคนเล็กของคาลวิล
เวลาสองทุ่มกว่าสองสามภรรยารับประทานอาหารอิ่มแล้วก็กลับห้องเพื่ออาบน้ำพักผ่อนหลังจากยุทธเลิศเหนื่อยล้าจากงานทั้งวัน ส่วนนายบัญทูรก็ไปตีกอล์ฟพบปะเพื่อนฝูงเพราะเขายังแข็งแรงอยู่ถึงจะให้ลูกชายบริหารงานต่อแต่เขาก็ยังหูตากว้างไกลยังเล่นหุ้นกับก้วนเพื่อนวัยเดียวกัน
“มีอะไรหรือคุณนิ” ยุทธเลิศถามภรรยาที่นั่งถอนหายใจและมองเขา
“มีค่ะ นิไม่รู้ว่าน้องชายของคุณยุทธจะไม่ชอบลูกชายของนิถึงขนาดอยากให้ตาเสือตาย” ชยานิพูดกับสามีด้วยความไม่พอใจน้องชายของสามีทั้งสอง
“คุณเอาอะไรมาพูดน่ะ”
“เรื่องจริงค่ะ นิได้ยินมากับหูว่าคุณรัตกับคุณทัสบอกว่าอยากให้ตาเสือตาย”
“ได้ยินจากไหนคุณนิ”
“เมื่อเช้าคุณรัตกับคุณทัสมาหาคุณพ่อไม่รู้ว่าคุยอะไรกันพอขากลับพวกเขาคุยกันแล้วนิไปเก็บดอกไม้มาปักแจกันได้ยินพอดีทำไมพวกเขาใจร้ายอย่างนี้คะ ตาเสือก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาเลย” ชยานิพูดด้วยความเป็นห่วงลูกชาย
“สองคนนั่นอาจจะพูดด้วยความโกรธ คุณนิอย่าคิดมากเลยผมไม่ให้ใครทำอะไรลูกของเราหรอกครับ เดี๋ยวตาเสือก็จะไปเรียนที่อังกฤษแล้วไม่มีอะไรหรอกครับ” ยุทธเลิศบอกภรรยาแต่ในใจเขาคิดว่าเป็นเรื่องจริงที่น้องชายอยากให้ลูกชายของเขาตายเพราะน้องชายทั้งสองเคยพูดตั้งแต่เขารับชยางกูรมาเป็นลูกบุญธรรมเพราะน้องชายทั้งสองคิดว่าเขาไม่มีลูกและสมบัติทั้งหมดของเขากับภรรยาจะตกเป็นของหลานๆจึงผิดหวังและไม่ชอบชยางกูร
“นิพูดตรงๆนะคะคุณยุทธ นิเป็นห่วงลูกค่ะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับตาเสือนิจะคิดว่าเป็นฝีมือน้องชายของคุณยุทธนะคะ”
“คุณนิ”
“ลูกใครใครก็รักค่ะ”
“ผมรู้ครับ คุณอย่าคิดมากเลยหากตาเสือไปอยู่ที่โน่นผมจะให้คาลวินช่วยดูแลคุณไม่ต้องห่วงนะ” ยุทธเลิศปลอบภรรยาที่ไม่สบายใจหลังจากได้ยินน้องชายของเขาคุยกัน
“นิจะพยายามค่ะ” ชยานิตอบสามีเบาๆเพราะมีเรื่องเดียวที่ทุกคนอิจฉาชยางกูรเพราะเด็กนุ่มเป็นทายาทของเธอกับสามีและได้อยู่ในคฤหาสน์ปัญญาวนิชยา
“งั้นพักผ่อนนะครับ ผมเคลียร์งานไว้แล้วเราจะไปส่งตาเสือที่อังกฤษด้วยกัน” เขาเคลียร์งานไว้เพื่อจะไปส่งลูกชายที่อังกฤษและพาภรรยาไปเที่ยวด้วย
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ นิอยากไปเที่ยวที่ไหนคิดไว้เลยครับ” ปีนี้เขายังไม่มีเวลาพาภรรยาไปเที่ยวต่างประเทศแต่ภรรยาก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่เกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนเขาก็ไปทำงานที่สิงค์โปร จีน ฮ่องกง มาเก๊าระยะสั้นสองสามวันจึงไม่ได้พาภรรยาไปด้วยถ้าไปก็ไม่ได้ไปเที่ยว
“งั้นตาเสือกลับมานิจะพาไปไหว้พ่อแม่เพื่อขอพรก่อนจะไปเรียนต่อนะคะ” ชยานิไม่เคยลืมทำบุญให้สองสามีภรรยาผู้เคราะห์ร้ายที่จากโลกนี้แก่อนที่จะได้ชื่นชมลูกชายของพวกเขาและพาชยางกูรไปไหว้พ่อแม่แท้ๆทุกปี
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนหลังจากที่ชยางกูรไปเรียนซัมเมอร์และกลับมาเตรียมตัวไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษวันนี้สองสามีภรรยาก็เดินทางไปส่งลูกชายถึงประเทศอังกฤษหลังจากที่จัดกราเรื่องเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย
"ตั้งใจเรียนนะปู่จะรอดูความสำเร็จของแกนะเจ้าเสือ" นายบัณทูรลูบศีรษะหลานชายเบารู้สึกใจหายเหมือนกันเพราะครั้งนี้ไปเรียนนานไม่ใช่ไปซัมเมอร์เหมือนทุกครั้งก่อนจะสวมสร้อยทองห้อยพระเกจิอารย์ชื่อดังที่มีพุทธิคุณสูงส่งราคาหลักล้านให้คุ้มครองหลานชาย
“ครับคุณปู่ ผมจะเอาความสำเร็จมาฝากคุณปู่ครับ” ชยางกูรให้คำมั่นสัญญากับปู่อย่างหนักแน่นก้มกราบเท้าปู่
“ไปได้แล้วเจ้ายุทธเดี๋ยวจะพากันตกเครื่อง เดินทางปลอดภัยนะ”
“ครับคุณพ่อ ไปเถอะคุณนิ ตาเสือ” ยุทธเลิศยกมือไหว้พ่อแล้วเดินออกจากห้องพักผ่อนส่วนตัวของพ่อไปขึ้นรถ
“ป้าคงคิดถึงคุณเสือมากเลยค่ะ” นางจำลองแม่บ้านมาส่งคุณหนูที่เธอดูแลมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ
“พี่ด้วยคะ คุณเสือตั้งใจเรียนนะคะจะได้กลับบ้านเราไวๆ” สมรักษ์พี่เลี้ยงของชยางกูรเป็นลูกสาวของจำลองกับนายพุดคนขับรถของนายบัณทูรและคนสวนแม่ครัว คนทำงานบ้านอีกสามสี่คนพากันมาส่งเจ้านายน้อย
“ขอบคุณครับป้าจำลอง พี่สม และทุกคนด้วยนะครับ ฝากดูแลคุณปู่คุณพ่อคุณแม่แทนผมด้วยนะครับ อีกไม่นานเราก็จะได้เจอกันครับผมไปนะครับ สวัสดีครับ” ชยางกูรยก มือไหว้ขอบคุณทุกคนที่มาส่งเขา
“ฝากดูแลคุณพ่อด้วยนะพี่จำลอง”
“ค่ะคุณนิ”
รถตู้คันใหญ่แล่นออกไปจากคฤหาสน์ ปัญญาวนิชยาไปสนามบินเพื่อไปส่งเจ้านายทั้งสามเดินทางไปต่างประเทศซึ่งครั้งนี้ชยางกูรตั้งใจจะเรียนให้จบเร็วๆเพื่อจะได้มาช่วยงานพ่อตามที่ได้ตั้งใจไว้ส่วนเพื่อนทั้งสามก็จะไปเรียนที่อังกฤษเหมือนกันแต่จะไปเทอมหน้าเพราะต้องเตรียมเอกสารและยุทธเลิศบอกว่าจะให้เพื่อนช่วยติดต่อให้และให้พ่อแม่ของเพื่อนลูกชายที่รู้จักกันดีจัดการเรื่องเอกสารที่เมืองไทย
เวลาผ่านไป9ปี
ชยางกูรกับเพื่อนๆเรียนที่อังกฤษพวกเขาเรียนจบปริญญาเอกพร้อมกับเพื่อนทั้งสี่คนเพราะพวกเขาตั้งใจเรียนพอๆกับตั้งใจเที่ยวและไม่เคยเสียการเรียนแล้วยังทำงานที่บริษัทของ คาลวิล คลอสโต้ เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังและเจ้าของคอกม้าและสนามแข่งม้าที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษมีโรงเรียนสอนขี่ม้า เพาะพันธุ์ม้าพันธุ์ดีขาย เลี้ยงม้าแข่ง และมีทีมนักแข่งม้าซึ่งสี่หนุ่มก็เรียนขี่ม้าจนช่ำชองและยังลงแข่งขันมือสมัครเล่นกันด้วย
“แกจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่วะไทเกอร์” เจ็ทถามเพื่อนที่ยืนเหม่อมองสนามม้าที่เพื่อนทั้งสามขี่ม้าอยู่ในสนามเพราะชยางกูรบอกว่าหลังจากที่เรียนจบโทแล้วจะขอทำงานหาประสบการณ์สองปีก่อนกลับกลับเมืองไทยแต่จริงๆแล้วเขาทำงานและเรียนต่อปริญญาเอกไปด้วยและตอนนี้ก็จบแล้ว
