บทที่ 2 กาฝาก
“คุณหนูเป็นอะไรครับ” นายก้อนถามคุณหนูของเขาที่ปากแตกหน้าบวม
“ตะลุมบอลกันมาครับลุง ไปโรงพยาบาลของพ่อนะครับ”
“ครับคุณหนู ยังไงก็โทรบอกคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับ”
“ครับลุง อู้ยย..เจ็บเป็นบ้าวะ” อานนสูดปากด้วยความเจ็บ
“เมื่อกี้มึงยังเก่งอยู่เลยนะไอ้เรย์” ชยางกูรว่าเพื่อนที่ถูกต่อยก่อนแล้วมันก็ต่อยคืนอนันยศชนิดหมัดแลกหมัดจากนั้นทุกอย่างก็ชุลมุนเขาก็ไปช่วยเพื่อนไม่ได้เพราะพิรัชย์ไล่ต่อยเขาและเขาก็ป้องกันตัวออกหมัดไม่กี่หมัดแต่โดนเต็มๆทุกหมัดเช่นกัน
“ตอนนั้นมันหน้ามืดแล้วโว้ย ถ้าไอ้เท่ห์ไม่ต่อยก่อนกูจะทำมันมั้ยล่ะ” ในเมื่ออนันยศเริ่มก่อนเขาก็เอาคืนเรื่องอะไรจะยอมให้มันต่อยฝ่ายเดียว
“แล้วตอนนี้ล่ะเป็นไงวะไอ้เรย์” ชาลีถามเพื่อนเพราะเขาใส่ภาคีก่อน
“เจ็บสิวะ กูว่างานนี้พวกเราถูกทำทัณฑ์บนแน่ๆว่ะ” เขาไม่ได้กลัวแต่เรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ต้องอับอายที่มีเรื่องชกต่อยกัน
ชยางกูรก็คิดตามเขาไม่ได้อยากหาเรื่องใครไม่อยากให้พ่อแม่ถูกญาติๆต่อว่าที่เอาเขามาเลี้ยงแล้วทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงก็เขาเป็นแค่กาฝากของตระกูลปัญญาวนิชยา เมื่อไปหาหมอเรียบร้อยอานนก็ให้ลุงก้อนตระเวรส่งเพื่อนๆในรถถึงบ้านทุกคนและชยางกูรเป็นคนสุดท้ายเพราะบ้านอยู่ไม่ไกลจากบ้านของอานน
“ขอบใจมากนเรย์ ขอบคุณครับลุงก้อน”
“ไม่เป็นไรน่าเพื่อน ไปนะ” อานนยกมกำปั้นชกกับเพื่อนเบาๆประตูรถตู้หรูคันใหญ่ก็ปิดลง
ชยางกูรมองจนรถของเพื่อนแล่นออกไปจนลับสายตาก็เดินไปที่ประตูเล็กลุงยามก็เปิดประตูให้เจ้านายน้อยเข้าบ้านและไม่ได้ถามอะไรรู้แต่ว่าวันนี้คุณเสือซ้อมบอลและจะกลับพร้อมเพื่อน
“ขอบคุณครับลุง” ร่างสูงของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีเดินเอื่อยๆเข้าไปในบ้านหรือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาอาศัยมาตตั้งแต่เด็กพอโตขึ้นเขาก็ถูกญาติวัยเดียวกันว่าเป็นกาฝากของตระกูลจึงไปถามพ่อกับแม่และท่านก็บอกความจริงให้เขารู้ว่าพ่อแม่ของเขาทั้งสองท่านเสียชีวิตและท่านทั้งสองไปเจอพอดีก็ให้ความช่วยเหลือผู้หญิงท้องแก่พาไปส่งโรงพยาบาลเพื่อทำคลอดและเขาก็ปลอดภัยส่วนพ่อแม่ก็เสียชีวิตและญาติของพ่อแม่แท้ๆก็ไม่มีใครพร้อมจะดูแลเขาจึงทำให้พ่อและแม่รับเขาเป็นลูกชายบุญธรรมและบอกไม่ต้องสนใจใครจะว่ายังไงเขาก็เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อกับแม่
“คุณพ่อคะ ศิไม่ยอมนะคะดูสิคะตาป้อมหน้าตาบวมปูดยับเยินขนาดนี้คุณพ่อต้องจัดการไอ้กา เอ่อ นายเสือนะคะ” ภัคสินีภรรยาของ รณรัต ปัญญาวนิชยาร้องโวยวายเสียงดังเอาเรื่องหลานชายกาฝากของตระกูลด้วยความไม่พอใจที่ทำร้ายลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอและไม่ไต่ถามว่าเรื่องราวเป็นมายังไงพอลูกชายบอกว่ามีเรื่องชกต่อยกับชยางกูรก็รีบพาลูกชายมาเอาเรื่องถึงบ้าน
“เดี๋ยวก่อนแม่สิ นี่มันเรื่องอะไรกันมาถึงก็โวยวายเสียงดังแบบนี้ไม่มารยาทจริงๆ” บัณทูรพูดขึ้นเมื่อลูกสะใภ้มาถึงก็โวยวายเสียงดังบัณทูร ปัญญาวนิชยา ประมุขของตระกูล ปัญญาวนิชยา วัย77 ปี ส่วนภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อสิบสามปีก่อน มีลูกชายสามคน ยุทธเลิศ วัย47 ลูกชายคนโตแต่งงานกับชยานี ลูกสาวนักการเมืองไม่มีลูกด้วยกันเพราะยุทธเลิศเป็นหมันจึงรับเด็กชายชยางกูร ปัญญาวนิชยา มาเป็นลูกบุญธรรมตอนนี้ก็17ปีแล้ว รณรัต วัย45 ปีลูกชายคนรองแต่งงานกับภัคศินี มีลูกชายสองคนคือ พิรัชย์ วัย17ปีคนโตและพลวัตลูกชายวัย 15ปี และเมทัส วัย43ปีลูกชายคนเล็กแต่งงานกับจิรญา มีลูกสาวสองคนและลูกชายหนึ่งคน เมลิสาวัย16ปี มาสิตาวัย14ปี เมธิชัยวัย12ปี
“ฝีมือตาเสือเหรอ” ยุทธเลิศถามหลานชายที่หน้าตาแดงก่ำบวมปูดไม่บอกก็รู้ว่ามีเรื่องชกต่อยกัน
“ใช่ พี่ยุทธต้องจัดการให้ตาป้อมนะครับ” รณรัตพูดกับพี่ชายอย่างไม่พอใจที่ไอ้กาฝากมันมาต่อยลูกชายของเขา
“ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณรัต คุณสิ”
“พี่นิจะให้สิใจเย็นได้ยังไงคะ พี่นิก็เห็นว่าลูกของสิเจ็บขนาดไปไหน” วาสินีพูดกับพี่สะใภ้ด้วยความไม่พอใจที่เขาข้างไอ้กาฝากตลอด
“แม่สิจะให้พ่อตัดสินใจโดยฟังความข้างเดียวมันไม่ถูกต้อง พ่อยุทธโทรหาเจ้าเสือสิว่าอยู่ไหนให้กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย” บัณทูรบอกลูกชายคนโต
“ครับคุณพ่อ”
“ลูกมาแล้วค่ะคุณยุทธ เสือมานี่ก่อนลูก” ชยานิเรียกลูกชายของเธอเข้ามาในห้องรับแขกที่กำลังร้อนระอุเพราะน้องชายกับน้องสะใภ้ของสามีจะเอาเรื่องลูกชายของเธอทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง
ชยางกูรเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่มีปู่พ่อแม่อาและพิรัชย์นั่งอยู่ในห้องทุกสายตามองเขาแตกต่างกันไป ปู่ยกยิ้มให้นิดหนึ่งพ่อแม่ยิ้มให้เขาแต่อาทั้งสองมองเขายังกับจะกินเลือดกินเนื้อและเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เขาจำความได้ว่านอกจากปู่กับพ่อแม่ก็ไม่มีใครชอบเขา
“สวัสดีครับคุณปู่ คุณพ่อคุณแม่คุณอา” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อมแล้วไปนั่งข้างแม่
“เสือบอกทุกคนได้มั้ยลูกว่าเกิดอะไรขึ้นลูกกับตาป้อมถึงชกต่อยกัน” คนเป็นแม่ถามลูกชายอย่างอ่อนโยนเพราะรู้จักนิสัยของลูกชายดีว่าไม่ทำใครก่อนหากไม่ถึงที่สุดจริงๆแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากเหมือนหลานชาย
“เกิดเรื่องที่โรงเรียนครับคุณแม่”
“เรื่องเป็นยังไงเล่าให้ปู่กับทุกคนฟังหน่อยสิเจ้าเสือ” บัณทูรบอกหลานชายนอกไส้ที่เขารักเหมือนหลานแท้ๆไม่ต่างจากหลานทุกคนเพราะชยางกูรเป็นคนตรงพูดจริง
“วันนี้ผมกับเพื่อนซ้อมเตะบอลที่โรงเรียนครับ และที่โรงเรียนก็มีสองทีมและสนามอยู่ใกล้กันผมเตะพลาดไปโดนเพื่อนทีมเอแล้วผมก็ขอโทษก็จบเรื่องกันไป"
“มึงตั้งใจเตะใส่ไอ้เท่ห์”
“เจ้าป้อมเงียบ แล้วพูดจาให้มันดีๆหน่อยอย่ามาขึ้นไอ้ขึ้นมึงกูที่นี่ แล้วยังไงต่อเจ้าเสือ” บัณทูรบอกหลานชายอีกคนทีพูดแทรกขึ้นมาและพูดจาไม่สุภาพจึงปรามหลานชาย
“พอจบเรื่องแล้วพวกเราต่างก็ไปซ้อมเตะบอลต่อแต่ทางทีมเอก็เตะบอลใส่ทีมผมสิบกว่าครั้งแล้วเพื่อนในทีมของผมก็ถามว่าจะเอายังไงก็ทะเลาะกันแล้วทีมเอก็ชกหน้าอานนครับ จากนั้นพวกเราก็ตะลุมบอลกันจนอาจารย์ฝ่ายปกครองมาห้าม เรื่องก็มีเท่านี้ครับ” ชยางกูรพูดไปตามความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นแต่ไม่ได้บอกว่าพิรัชย์ว่าเขาเป็นไอ้กาฝาก
“ที่เจ้าเสือพูดมาจริงหรือเปล่าเจ้าป้อม” บัณทูรถามหลานชายที่นั่งหลบตา
“ครับคุณปู่”
“แต่นายเสือมันต่อยลูกของสินะคะคุณพ่อ สิไม่ยอมค่ะ”
"แล้วเจ้าป้อมได้ต่อยเจ้าเสือหรือเปล่า"
"เอ่อ ครับคุณปู่" พิรัชย์ตอบเบาๆเพราะเขาชกชยางกูรก่อน
“เธอจะให้ฉันทำยังไงแม่สิ ในเมื่อเจ้าป้อมก็ต่อยเจ้าเสือ”
“คุณพ่อต้องลงโทษมันค่ะ”
“ลงโทษตาเสือเรื่องอะไรคะคุณสิ ทั้งที่เด็กๆทะเลาะกันเป็นกลุ่มใหญ่แต่คุณสิให้คุณพ่อลงโทษลูกชายพี่คนเดียวมันไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ” ชยานิถามน้องสะใภ้ที่จะให้พ่อสามีลงโทษลูกชายของเธอโดยที่เด็กๆมีความผิดเหมือนกัน
“พี่นิอย่าเข้าข้างไอ้เสือมันสิครับ ตาป้อมเป็นหลานแท้ๆของพี่นะครับ ไม่ใช่ไอ้ลูกกาฝากอย่างไอ้เสือนะครับ” รณรัตว่าพี่สะใภ้ที่เห็นชยางกูรดีกว่าลูกชายของเขา
“นายรัต จะพูดจะจาอะไรก็เกรงใจพี่หน่อยนะยังไงตาเสือก็เป็นลูกชายของพี่ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆแต่พี่ก็รักเหมือนลูกอย่าให้พี่ได้ยินเรียกลูกชายพี่ว่ากาฝากอีก” ยุทธเลิศพูดกับน้องชายด้วยความไม่พอใจที่ว่าลูกชายของเขา
“เข้าข้างมันเข้าไป วันหนึ่งเถอะไอ้ลูกเสือลูกตะเข้มันจะแว้งกัดพี่” รณรัตพูดด้วยความโกรธพี่ชายที่เข้าข้างชยางกูร
“พอได้แล้ว นี่มันเรื่องของเด็กแล้วผู้ใหญ่จะมาทะเลาะกันทำไม พวกแกจะต้องสอนลูกให้รักกันมากกว่าจะให้มาทะเลาะกันนะเจ้ายุทธเจ้ารัต”
“ก็พี่ยุทธ..”
“พ่อบอกให้พอไง”
“งั้นคุณพ่อต้องลงโทษไอ้เสือ” รณรัตไม่ยอมจะให้พ่อของเขาลงโทษสิงหนาท
“ใครเป็นคนลงมือก่อนเจ้าป้อม” คนเป็นปู่ก็ยุติธรรมพอเขาไม่คิดจะลงโทษหลานชายทั้งสอง
“เอ่อ..”
“ตอบคุณปู่ไปเลยลูกไม่ต้องกลัว” ภัคสินีบอกลูกชายและมองชยางกูรอย่างไม่พอใจ
“คือว่า..” พิรัชย์ไม่กล้าสบตาปู่จึงหันมองหน้าพ่อแม่ที่ลุ้นให้เขาพูด
“ว่าไงเจ้าป้อม” แค่นี้ท่านก็รู้แล้วว่าพิรัชย์เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเหมือนทุกครั้งที่เด็กทั้งสองมีเรื่องกันแต่ไม่ได้ถึงขึ้นชกต่อย
“ผมครับคุณปู่” พิรัชย์ตอบปู่เบาๆทำเอาพ่อแม่หน้าเสียที่ใส่ชยางกูรไว้เยอะ
“แล้วอย่างนี้แม่สิจะให้พ่อลงโทษใครดีล่ะ”
“ก็ให้มันแล้วกันไปเถอะค่ะคุณพ่อ” ภัคสินีเสียหน้าอย่างแรงตอบพ่อสามีเบาๆ
“งั้นเรื่องนี้ก็ให้มันแล้วกันไปซะ ยังไงเจ้าป้อมกับเจ้าเสือก็เป็นพี่น้องกันใช้นามสกุลเดียวกันเป็นหลานปู่เหมือนกันก็รักกันสามัคคีกันไว้ภายภาคหน้าจะได้ช่วยกันดูแลบริหารบริษัทของเรา” บัณทูรพูดกับหลานชายทั้งสอง
“ครับ/ครับคุณปู่”
