7. อยู่ในโลกนิยาย
บทที่ 7. อยู่ในโลกนิยาย
หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์ให้เขาแล้วเสร็จ อี้เหอก็เดินไปจุดเทียน และออกจากห้องไปตรวจตราดูประตูนอกว่าปิดแล้วหรือยัง ซึ่งด้านนอกนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร ทว่าหากสังเกตดีดีจะเห็นว่ามีคนแอบซุ่มอยู่ตามมุมต่าง ๆ และคนเหล่านี้ก็ไม่น่าจะใช่ยาม
ดีหน่อยที่พวกเขาไม่เข้ามาในเรือนหลักที่นางพักอาศัย คาดว่าจางไห่คงสั่งเอาไว้ไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามกระมัง
“อยู่ในถ้ำเสือแล้ว จะออกไปก็คงยาก” หญิงสาวพึมพำก่อนจะเดินกลับเข้ามาในเรือนพักของตน จากนั้นก็ปิดประตูลงกลอนเหมือนทุกวัน และห้องที่นางนอนนี้ก็เป็นห้องเดียวกันกับห้องของแม่ทัพ ซึ่งจางไห่ให้เหตุผลว่านางจะได้ดูแลสหายเขาง่ายขึ้น
ทว่าสิ่งที่อี้เหอคิดคือ คนของเขาจะได้ตรวจตราได้ง่ายมากกว่า หากพักหลายห้อง ก็ต้องใช้คนเฝ้ามากขึ้นอีก
หญิงสาวไม่ได้โง่ นางก็แค่หลงเข้ามาในดงมัจจุราชแล้วไม่อาจออกไปได้ก็เท่านั้น สุดท้ายเลยต้องทนอยู่ไปก่อน เพราะสิ่งที่ต้องการอันดับแรกก่อนได้รับอิสระคือเงิน
นางต้องหาให้ได้มากพอที่จะหนีไปจากเมืองนี้ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางรอดเงื้อมมือคนร้ายกาจอย่างจ้าวจางไห่แน่ ขนาดท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกร ยังตกอยู่ใต้อาณัติคนผู้นี้เลย แล้วมีหรือคนตัวเปล่าและไร้แรงอย่างนางจะหนีพ้นไปได้ง่าย ๆ
“ใจเย็นก่อนนะอี้เหอ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป” นางบอกตนเองเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกระมัง ตั้งแต่ก้าวเข้ามาเหยียบเรือนป่าไผ่แห่งนี้ ซึ่งที่นี่น่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองเท่าใดนัก เพราะสามวันก่อนนางยังได้ดูดอกไม้ไฟที่ถูกจุดทางทิศตะวันออกอยู่เลย
“ถ้าเรารักษาแม่ทัพหานให้หายได้ ความหวังที่จะได้ออกจากที่นี่คงไม่ไกลเกินเอื้อม เอาเถอะ… ชีวิตนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่ ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้วล่ะอี้เหอ ใครบอกให้เจ้าโง่ เชื่อคนง่ายถึงกับยอมตามเขามา ทำไมไม่รู้จักถามชื่อแซ่เขาก่อน”
ที่นางก่นด่าตนเองเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่า หญิงสาวมารู้ทีหลังว่าที่ที่ตนเกิดใหม่นี้คือโลกของนิยาย และยังเป็นนิยายที่นางยังอ่านไม่จบด้วย นางพึ่งทำความรู้จักกับตัวละครไปได้แค่ห้าบทเท่านั้น และที่สำคัญคือยังไม่รู้ว่าใครเป็นพระเอก
ที่อี้เหอมั่นใจว่าที่นี่คือโลกแห่งนิยาย ก็เป็นเพราะนางเกิดใหม่มาพร้อมกับมัน ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นในร่างนี้ ในมือยังถือหนังสือนิยายเล่มนี้อยู่ ทว่าเพียงแค่นางคิดจะเปิดอ่าน
มันกลับมลายหายไปสิ้น เหลือเพียงเศษเถ้าให้ดูเท่านั้น
และเมื่อนางได้พบกับจางไห่ หญิงสาวก็เข้าใจว่าเขาคือพระเอก อี้เหอจึงไม่ลังเลที่จะอยู่เคียงข้างเขาในยามนั้น เพราะคิดว่ายังไงตนเองก็ต้องรอด เพราะได้อยู่กับพระเอก
ทว่าเมื่อถูกเขาพามาที่นี่ ความคิดนางก็เริ่มเปลี่ยนไป มากไปกว่านั้นคือหญิงสาวจับโกหกชายหนุ่มได้หลายอย่างในเวลาต่อมา แต่ก็นั่นแหละ ยามนี้นางอยู่ในถ้ำเสือแล้ว จะพาตนเองออกไปโดยไม่บาดเจ็บ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้แน่
นางจึงต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยการใช้ตัวละครที่ถูกระบุไว้ในเรื่องอย่างแม่ทัพหานมาช่วย แม้ความหวังมันจะริบหรี่ก็ตามที เพราะเขาดันเป็นคนป่วยที่นอนติดเตียงมาเกือบเดือนแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่รู้ว่าเขารับบทไหนกันแน่ จะว่าเป็นพระเอกก็ไม่น่าจะใช่ พระเอกที่ไหนจะเปิดมาแล้วพิการเดินไม่ได้เลย อีกอย่าง… หากเขาเป็นพระเอก คนที่ดูแลก็ต้องเป็นนางเอกสิ ไม่ใช่สตรีไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนาง ยิ่งไปกว่านั้น นางเอกที่ไหนจะเสียตัวให้ชายอื่นก่อนได้กับพระเอกบ้าง
‘เห้อ! คิดบ้าอะไรของเราเนี่ยะ’ ก่นด่าตนในใจ ก่อนจะเดินส่ายศีรษะตรงไปยังเตียงของคนป่วย ซึ่งยามนี้เขาก็ยังนั่งพิงหัวเตียงมองนาง ราวกับกำลังคอยให้เข้าไปหาเสียอย่างนั้น
“ง่วงหรือยังเจ้าคะ” รีบเอ่ยถามเมื่อเห็นเขามองตนนิ่ง
แม่ทัพหนุ่มส่ายศีรษะเล็กน้อย พร้อมกับวางมือแล้วขยับตีนิ้วลงบนเตียง ราวกับกำลังเชิญชวนให้นางขึ้นไปนั่งด้วย
อี้เหอยิ้มก่อนจะทำตามที่เขาต้องการ โดยการขยับขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงเคียงข้างกัน ใบหน้าคมคายจึงหันมาหานาง
“ท่านอยากรู้ว่าเหตุใดข้าถึงอยากไปจากที่นี่หรือ”
เส้าเหว่ยพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับจ้องนางด้วยแววตาอยากรู้ อี้เหอจึงยิ้มอ่อนให้เขาก่อนจะเอ่ยบอกเรื่องราวให้ฟัง
“อันที่จริง ข้ากับพี่จางไห่เราไม่ได้คบหาเป็นคู่รักกันอย่างที่ท่านเห็น ข้าเพียงแต่โง่หลงเชื่อคำเขา เพราะเห็นว่ามีงานให้ทำ จึงคิดว่ามันคงไม่เสียหายอะไร ทว่าผ่านไปสามวัน ข้าถึงได้รู้ว่าตนเองถูกพามาขังไว้ที่นี่ เพื่อดูแลท่านและคอยบำบัดความใคร่ให้เขาเท่านั้น” น้ำเสียงนางยังคงราบเรียบ หาได้มีแววเศร้าเสียใจไม่ เส้าเหว่ยจึงขยับมือมากุมมือขาวไว้เพื่อปลอบนาง
“ข้าไม่เป็นไร ก็แค่หลงกลคนชั่วก็เท่านั้น” สิ้นคำนางก็เงยหน้ามายิ้มให้เขา ไม่ถึงอึดใจสีหน้านางก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าพี่จางไห่น่าจะวางยาท่าน” นางเอ่ยบอกคนป่วยไปตรง ๆ และมันก็ทำให้เส้าเหว่ยถึงกับตาโต เพราะสิ่งที่อี้เหอกล่าวมันคือสิ่งที่เขาเคยคิด
“ที่ข้ากล่าวเช่นนี้ก็เพราะ สองวันแรกที่ข้ามาดูแลท่าน ข้าสังเกตเห็นว่าท่านเริ่มไม่มีแรงแม้แต่เคี้ยวอาหารใช่หรือไม่”
แม่ทัพหนุ่มพยักหน้ารับทันที อี้เหอจึงกล่าวต่อไปอีกว่า
“หลังจากสองวันนั้น เผอิญว่าห่อยาที่พี่จางไห่ให้มามันชื้นจนขึ้นรา ด้วยความที่ข้าก็เพิ่งมาทำงานใหม่ๆ กลัวถูกตำหนิจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขา จากนั้นข้าก็ต้มสมุนไพรตัวอื่นให้ท่าน แต่พอผ่านไปห้าวัน ข้าสังเกตเห็นว่าร่างกายท่านเหมือนมีเรี่ยวแรงขึ้น ข้าเลยอดคิดไม่ได้ว่ายาที่ท่านแม่ทัพดื่มก่อนหน้านี้ น่าจะไม่ใช่ยารักษาโรค แต่อาจจะเป็นยาเพิ่มโรค เพิ่มอาการให้หนักขึ้นเสียมากกว่า พอท่านไม่ได้ดื่มมันถึงได้มีอาการดีขึ้น ร่างกายก็ขยับได้ด้วย” อี้เหอบอกเล่าเป็นตุเป็นตะ
ทั้งที่ความจริง นางรู้เพราะอ่านเรื่องย่อมาแล้วต่างหาก เสียก็แต่ไม่มีการระบุว่าตัวละครไหนดีไหนร้ายนี่แหละ
มิเช่นนั้นนางคงไม่ตามจางไห่มา
