6. ทดลอง
บทที่ 6. ทดลอง
เส้าเหว่ยชะงักนิ่งอึ้งเพราะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของนางเท่าใดนัก นางจะ ‘เลีย’ มังกรของเขากระนั้นหรือ
และยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะได้คิดสิ่งใดต่อ ร่างเล็กก็ขยับไปอยู่ที่หว่างขาเขาเสียแล้ว และไม่ถึงอึดใจต่อมา ใบหน้างามก็ก้มลงไปหามังกรคอหักของเขา พร้อมกันนั้นนางก็ใช้มือช้อนมันขึ้นมา มันยังคงโงนเงนอย่างกับคนไม่มีแรงยืน ทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกอายขึ้นมา เมื่อได้เห็นลูกชายของตนอีกครั้ง
“ช่างน่าเวทนายิ่งนัก นี่หรือคือสิ่งที่ข้าเคยภาคภูมิใจ” เขายังคงมองมังกรของตนที่เคยแข็งขืนสู้มือ
ทว่าบัดนี้มันกลับไม่ต่างจากมะเขือยาวที่ถูกเผ่าเลย
อี้เหอเงยขึ้นมามองสีหน้าแม่ทัพ เมื่อเห็นนัยน์ตาเขาเศร้าหม่นก็นึกสงสารอีกครา นางจึงยิ้มให้เขาเพื่อเป็นการปลอบประโลม ก่อนจะก้มลงมาสนใจสิ่งที่หลับใหลตรงหน้าต่อ นางขยับเข้าใกล้อีก จากนั้นก็เริ่มใช้ปลายลิ้นสีแดงยื่นออกมาสัมผัสที่ส่วนปลาย แม้มันจะเหลวดิ้นหนีก็ตามที
ทว่ามันไม่มีทางเกินกว่าความตั้งใจของนางแน่ เมื่อเลียแล้วไม่ได้ผล อย่างนั้นนางก็ต้องอมมันเข้าไปจึงจะไม่ดิ้นหนีอีก พร้อมกับใช้มือประคองบีบพวงสวรรค์เล่นเพื่อกระตุ้นไปด้วย นำพาให้แม่ทัพหนุ่มเริ่มมีอาการเกร็งขึ้นมาบ้างแล้ว
สัมผัสอุ่นและเปียกชื้นทำให้ร่างกายรู้สึกวูบวาบเหมือนตอนที่เห็นนางถูกสหายเด้าหระแทกไม่มีผิด เขาจึงจ้องการกระทำของนางเขม็ง พร้อมกับขบกรามแน่นเพราะความรู้สึกวาบหวามที่กำลังก่อตัว ‘อ่า… อี้เหอปากเจ้าอุ่นยิ่งนัก’ เขาครางบอกนางในใจ เพราะมิอาจเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
ส่วนหญิงสาวที่กำลังมัวเมา ยามนี้นางอมรูดจากโคนขึ้นมาจนถึงปลาย และอมเข้าไปใหม่ ทำอยู่เช่นนั้นอย่างมัวเมา แม้ว่ามังกรตัวนี้จะไม่แข็งขืนตื่นขึ้นมา ทว่ามันก็ตอบสนองด้วยการแข็งในบางครา แต่ก็เพียงชั่วครู่มันก็หายไป
ใบหน้างามเงยขึ้นส่งยิ้มให้เขาทันที เมื่อสัมผัสได้ถึงการเกร็งตัวของอีกฝ่าย รวมถึงการขยับเขยื้อนของขาเรียวที่นางนั่งเบียดอยู่ในยามนี้ “ท่านแม่ทัพรู้วสึกใช่หรือไม่” นางรีบถามเขา อีกฝ่ายจึงพยายามพยักหน้าให้ “ดีจริง เช่นนั้นข้าจะใช้วิธีนี้กระตุ้นทุกวัน ไม่แน่มันอาจช่วยให้ขาของท่านมีความรู้สึกขึ้นมาอีกก็ได้นะเจ้าคะ” เสียงนางบ่งบอกถึงความหวังอย่างเห็นได้ชัด
เส้าเหว่ยถึงกับน้ำตาซึม มิใช่ว่าเขาดีใจที่จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนึกไม่ถึงว่าสตรีตรงหน้าจะตั้งใจทำมันเพื่อเขาต่างหาก และทันทีที่กล่าวจบ อี้เหอก็ก้มหน้าก้มตาลงไปอมมังกรชักรูดขึ้นลงอีกหน จนน้ำลายไหลเยิ้มก็ยังไม่ยอมหยุด
เขาจึงพยายามขยับตัวจากการนั่งพิงหัวเตียง เพื่อใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาอยากบอกนางเหลือเกินว่าพอได้แล้ว แม้ร่างกายเขาจะวูบวาบเพราะความเสียวที่กำลังตีตื้นขึ้นมา ทว่านางทำให้เขานานแล้ว เส้าเหว่ยจึงไม่อยากให้อี้เหอต้องเหนื่อยอีก
หญิงสาวจึงคลายริมฝีปากออกพร้อมกับมองเขา จากนั้นก็ส่งยิ้มให้อย่างน่าตี “หากมันโตเต็มวัย คงน่ากินกว่านี้นะเจ้าคะ” เอ่ยเย้าอย่างคนทะเล้น ก่อนจะหันไปหยิบผ้ามาเช็ดทำความสะอาดปากตน และเช็ดมังกรตัวขาวที่ยังคงหลับสนิท
จากนั้นนางก็หันไปหาขาแกร่ง พร้อมกับบีบนวดให้เช่นทุกวัน และไม่ลืมที่จะหันมาสังเกตุสีหน้าแม่ทัพหนุ่มด้วย “มีความรู้สึกบ้างไหมเจ้าคะ” เอ่ยถามพร้อมกับรอคำตอบ ซึ่งยามนี้นางกำลังใช้เล็บจิกลงที่ขาเขาเพื่อดูอาการ เส้าเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกมึน ๆ ที่ขา ราวกับมีบางสิ่งกำลังกดทับ ซึ่งมันไม่ได้เจ็บ เพียงแต่มึนชาเท่านั้น
“รู้สึกหรือเจ้าคะ” ร่างเล็กขยับคลานเข้าใกล้
แม่ทัพหนุ่มจึงพยักหน้าให้หนึ่งที
“ดีจริง เมื่อครู่ข้าลองใช้เล็บจิกที่ขาท่าน รู้สึกเจ็บมากไหม หรือแค่มึน ๆ ชา ๆ” อี้เหอรีบถามต่อเพื่อดูอาการเขา ซึ่งนางก็ลืมไปว่าอีกฝ่ายนั้นพูดไม่ได้ หญิงสาวจึงเปลี่ยนวิธีการสื่อสารกับเขาใหม่ โดยมีข้อตกลงว่าให้กะพริบตากี่ครั้ง
“ถ้าเจ็บมาก กะพริบสามทีนะเจ้าคะ เจ็บน้อยสองที มึน ๆ ก็ทีเดียว อย่างนี้เราจะได้รู้ว่า ขาของท่านแม่ทัพอยู่ในระดับใด เมื่อครู่ที่ข้าใช้เล็บจิกท่าน เจ็บมากไหมเจ้าคะ”
เส้าเหว่ยจึงกะพริบตาให้นางหนึ่งที ก่อนจะยิ้มอ่อนให้ หญิงสาวก็ยิ้มตอบเช่นกัน และมันน่าจะมากกว่าเขาด้วยซ้ำ ทว่าไม่นานรอยยิ้มนี้ก็หายไป และมันมาพร้อมกับคำถามใหม่
“ก่อนนี้ ท่านแม่ทัพเคยรู้สึกเหมือนอย่างวันนี้หรือไม่” นางต้องถามให้แน่ใจก่อนว่า นี่จะไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปกติทุกวัน
เส้าเหว่ยขยับใบหน้าส่ายเบา ๆ
“เช่นนั้น นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ท่านแม่ทัพรู้สึกปวดมึนที่ขาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ดวงตาสวยเปล่งประกายเหมือนเด็กกำลังรอคำตอบอันน่าพึงพอใจ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าอีกครั้ง นางก็โผเข้ากอดเขาทันที “ดีจริง ต่อไปข้าจะตั้งใจรักษาท่านนะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพต้องหายดีแน่” เสียงของนางสั่นเครือยิ่งนัก
‘อี้เหอ ไยเจ้าถึงดีเพียงนี้’ เส้าเหว่ยเอ่ยในใจ พร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหลังนางอย่างอ่อนโยน ทว่ามันก็ค้างได้ไม่นานนัก เขาก็ต้องวางมันลงข้างตัวเหมือนเคย เพราะเรี่ยวแรงในร่างกายมันไม่ค่อยมี ซึ่งตรงนี้… แต่ก่อนเขาไม่เคยใส่ใจ
เส้าเหว่ยคิดว่ามันอาจจะเกิดจากการถูกพิษในคราวนั้น
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเริ่มเอะใจ ตั้งแต่อี้เหอมาดูแล จากที่เขาไม่มีแรงเลยก็กลับมาขยับตัวได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขารู้สึกว่าร่างกายนี้มันปกติดี เขาไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บป่วยอันใด นอกจากส่วนล่างที่มันไม่มีความรู้สึกเท่านั้นที่น่าห่วง
ทว่าร่างกายส่วนบนเขารู้สึกว่ามันปกติ แต่เหตุไฉนมันถึงไม่มีแรง แม้แต่ยกแขนก็ยังไม่ขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้มันเป็นมาก่อนที่อี้เหอจะมาดูแลเขา ถึงกระนั้นแม้เขาจะขยับได้บ้าง ยามอยู่ต่อหน้าสหาย เส้าเหว่ยก็ยังแสร้งนอนนิ่งอยู่ดี
นับจากนี้เขาก็หวังแค่ว่า อี้เหอจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร
หลังจากเผลอกระโจนกอดชายหนุ่ม ร่างอรชรก็ขยับถอยออกมาพร้อมกับยิ้มแหยแก้เขิน “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าดีใจมากไปหน่อย ท่านไม่เจ็บใช่หรือไม่” สีหน้านางดูเป็นกังวล
แม่ทัพหนุ่มจึงส่ายหน้าก่อนจะยิ้มบางส่งให้นาง พร้อมกับพยายามยกมือขึ้น หมายจะลูบแก้มเนียนอีกสักครั้ง
อี้เหอเห็นเช่นนั้น นางก็จับมือเขามาวางประกบใบหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ หากข้าสามารถรักษาท่านให้หายได้ ท่านช่วยมอบเงินให้ข้าสักก้อนได้หรือไม่ ข้าอยากไปให้ไกลจากที่นี่ ข้าไม่อยากอยู่กับพี่จางไห่” นางเอ่ยบอกความต้องการแล้วก็นั่งนิ่งมองหน้าอีกฝ่ายที่นิ่งไปเช่นกัน
‘นี่อี้เหอไม่อยากอยู่กับจางไห่หรอกหรือ’ เขาอยากถามนางเหลือเกินว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงได้แต่อ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น
“ท่านคงสงสัยว่าเพราะอะไรสินะ”
เส้าเหว่ยพยักหน้าทันที
“เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง ขอเปลี่ยนชุดให้ท่านก่อนนะ มืดแล้วอากาศเริ่มเย็น ประเดี๋ยวจะป่วยอีก” สิ้นคำนางก็จัดการดึงเอาชุดเขาออกมาจนหมด ก่อนจะเอาผ้าห่มคลุมให้ จากนั้นก็เดินหอบผ้าไปที่มุมห้อง ซึ่งเป็นส่วนที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง
