9/1
ตู้เสื้อผ้าย้ายที่!!!
ย้ายได้ยังไง?
ตอนไหน?
ทำไมไม่รู้?
คำถามไร้คำตอบแย่งกันเข้ามาอยู่ในสมองให้คนกำลังปวดหัวอยู่แล้วต้องปวดหนักขึ้น ดวงตาคู่สวยมองตู้เสื้อผ้าใบโต มันไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่มันเคลื่อนที่ได้ จากจุดนี้เลื่อนไปอยู่จุดนี้
ประตู?
คำถามใหม่ดังขึ้นมาในหัว เธอมองประตูห้องสลับกับประตูบานใหม่หน้าตาเลิกลั่ก ห้องเธอเคยมีประตูเข้าออกบานเดียว มีประตูห้องน้ำอยู่อีกมุมหนึ่ง แล้วใครมันทุบผนังทำประตูใหม่เมื่อคืนนี้เล่า
หญิงสาวคิดอย่างกลัวๆ เมื่อคืนอาจจะมีคนเข้ามาทุบห้องเพื่อเจาะประตู ในขณะที่เธอกำลังนอนสลบไสลอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องรู้ราว พระเจ้า!!! ดีที่เธอยังปลอดภัยดีนะเนี่ย
แล้วในขณะที่ความคิดยังว้าวุ่นกับความเปลี่ยนภายในห้อง ประตูบานใหม่ซึ่งแคบกว่าประตูหน้าห้องก็ถูกผลักเข้ามา
“อารัณ!!!”
ดรัณเลิกคิ้วเข้มขึ้น ดวงตาเย็นชามองภรรยาตัวเล็กคล้ายจะทะลุเข้าไปถึงกลางหลัง ไร้ความอ่อนเชื่อมอย่างเมื่อคืนนี้โดยสิ้นเชิง
“ทำไม เธอคิดว่าจะเป็นใครเข้ามาล่ะ หรือนัดแนะให้ใครเข้ามาหาลับหลังฉัน”
เจอหน้ากันก็หาเรื่องเลย!!!
พลับพลึงไม่ตอบ พูดไปสองไพลเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง เดินหนีดีกว่า
“นี่!! อยากรู้ทำไมไม่ถาม แล้วนั่นเธอจะไปไหน”
ดรัณก้าวมาดักหน้า หญิงสาวนิ่วหน้าไม่พอใจที่เขาชอบหาเรื่องเธอ
“จะไปทำงานในไร่ ให้เหมือนกับคนงานคนหนึ่ง ตามหน้าที่ของภรรยาค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ แล้วสาวเท้าไปด้านข้าง แต่ติดมือใหญ่ที่รั้งต้นแขนเธอไว้
“ถ้าสงสัยก็น่าจะถาม”
“ถ้าเป็นเรื่องประตูใหม่ พลับไม่สงสัยหรอกค่ะ นี่มันบ้านของอารัณ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่ใช่เรื่องของพลับ”
ดรัณโคลงหัว บทจะดื้อพลับพลึงก็ดื้อได้ใจมาตลอด บทจะงอนเธอจะไม่ยอมพูดยอมจาเอาแต่สะบัดหน้าจนคอแทบหลุดออกจากบ่า แต่ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเธอก็น่ารักไม่เบา
“ต่อไปนี้ฉันจะนอนห้องข้างๆ มันเป็นห้องหอของฉันกับอิงฟ้า ส่วนห้องที่เธอนอนเป็นห้องที่ฉันทำไว้ให้ลูก มันถึงมีประตูเชื่อมเข้าหากันนี่ไง”
จริงสิ เธอลืมไปเลยว่าห้องหอของเขากับอาอิงไม่ใช่ห้องนี้ ห้องที่เธอนอนมีขนาดไม่กว้างนัก ถ้าเทียบกับห้องหอเดิมของเขาก็เทียบกันไม่ติด เชอะ!!! ให้เธอนอนห้องลูก นี่เขาเห็นเธอเป็นลูกมากกว่าเป็นเมียหรือไร แล้วพ่อทำกับลูกแบบเมื่อคืนได้ด้วยเหรอ ตาบ้า!!!
“ที่จริงอารัณนอนไม่จำเป็นต้องมาบอกพลับหรอกนะคะ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเลื่อนตู้บังประตูออกด้วย ถึงยังไงประตูนั่นมันก็ไม่ได้ใช้หรอกค่ะ” ประชดอีกแล้ว
“ไม่ล่ะ ฉันคิดว่าต่อไปมันคงกลายเป็นสิ่งจำเป็น อย่างเมื่อคืนนี้ถ้าฉันไม่เข้ามาเลื่อนตู้ออก ฉันไม่มีทางรู้เลยว่าเมียของฉันนอนตัวเปล่าไม่ห่มผ้า ดีนะที่เป็นฉัน ถ้าเป็นคนอื่นมีหวังเขาได้เป็นตากุ้งยิงไปแล้ว”
“กรี๊ดดดด อารัณ!!!” พลับพลึงหวีดร้องกระทืบเท้าเร่าๆ หน้าตาแดงแช้ดเพราะถูกล้อเลียน “มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูด” เธอต่อว่า
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ก็เธอเป็นเมีย ทั้งมอง ทั้งจับ ทั้งจูบ ทั้งเลีย ฉันก็ทำมาหมดแล้ว ไม่เห็นต้องอายเลย กับคนอื่นน่ะสิสมควรอาย”
“อารัณบ้า!! บ้าที่สุด!” ว่าเขาแล้วก็เดินลงส้นจากไปอย่างขุ่นเคืองใจ
ดรัณมองตามแผ่นหลังบอบบางและเรือนร่างเล็กอ้อนแอ้น ก่อนจะเปิดรอยยิ้มออกมาบางๆ
ตอนเที่ยงของวัน คนงานในไร่ก็พากันเอาอุปกรณ์ไปเก็บไว้ในโรงเก็บของ ก่อนจะเดินเรียงแถวตรงไปยังโรงอาหารที่จัดขึ้นสำหรับเลี้ยงอาหารคนงานทั้ง 3 มื้อ อยู่ในไร่อิงฟ้าไม่เสียเงินสักบาท ทำเท่าไหร่ก็มีเงินเก็บเท่านั้นนอกเสียจากจะเอาเงินไปถลุงอย่างอื่น แต่นั่นก็น้อยมาก ด้วยเพราะพ่อเลี้ยงดรัณไม่โปรดคนเล่น ไม่เซ่นคนกิน ไม่ชอบคนทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ ถ้ารู้โทษสถานเดียวคือไล่ออก
แต่พ่อเลี้ยงให้โอกาสทุกคนสังสรรค์ในช่วงวันหยุดเท่านั้น และจะต้องสังสรรค์กันภายในไร่ เพื่อป้องกันการปะทะที่พร้อมจะเกิดทุกเมื่อหาไร้สติไตร่ตรอง ใครต้องการอะไรแค่บอก พ่อเลี้ยงก็จัดให้ทุกอย่าง แต่แค่เดือนละครั้งเท่านั้น
พลับพลึงวางเครื่องไม้เครื่องมือลงแล้วปาดเหงื่อออกจากใบหน้าด้วยหลังมือ วีกิจเห็นหน้าซีดๆ ก็ถามอย่างเป็นห่วง
“คุณหนูพลับเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมว่าสีหน้าไม่ค่อยดีเลย เดี๋ยวทานข้าวแล้วไม่ต้องทำต่อนะครับ ผมว่าควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว ดูท่าทางเพลียๆ ชอบกล”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่กิจ พลับแค่เหนื่อย แต่เดี๋ยวทานข้าวเสร็จก็หาย”
เสียงอ่อนระโหยโรยแรงทำให้วีกิจร้อนใจ
“อย่าเลยครับ ทานข้าวเสร็จแล้วไปพักเลยดีกว่า เดี๋ยวผมจะพ่อเลี้ยงให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พลับไม่อยากให้เขาคิดว่าพลับสำออย แค่นี้สบายมากค่ะ อยู่ที่ไร่โน้นพลับก็ทำนะคะ”
“แต่คงไม่มากเท่านี้”
“ก็ทำให้สมกับความเป็นภรรยาของพ่อเลี้ยงไงคะ อย่านิ่งดูดาย พี่กิจเคยได้ยินไหมคะ”
“โธ่...แต่ถ้าพ่อเลี้ยงเห็นสีหน้าคุณหนู พ่อเลี้ยงคงไม่บังคับให้ทำต่อหรอกครับ”
พลับพลึงส่ายหน้า ถอดหมวกมาโบกพัดเมื่อรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งหน้า กระบอกตาร้อนผ่าว หน้าตาแดงก่ำคงเพราะทำงานกลางแดดจ้า เดี๋ยวทานข้าวแล้วดื่มน้ำหวานๆ ก็ดีขึ้นแล้ว
“พี่กิจไปทานข้าวเถอะค่ะ พลับก็กำลังจะไปเหมือนกัน”
“ถ้างั้น...ผมขอตัวก่อนนะครับ” เพราะวีกิจเห็นพลับพลึงขี่ม้ามา ขากลับก็คงต้องขี่ม้ากลับก็เลยแยกทางกับเธอ แต่ใจยังอดห่วงไม่ได้ “แน่ใจนะครับว่าไม่เป็นไร”
“แน่ใจค่ะ สบายมาก” พลับพลึงตอบไปพยายามยิ้มให้กว้างแลดูสดชื่นแจ่มใสมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วีกิจเห็นดังนั้นก็ยอมเดินห่างไปตามคนงานทั้งหมดไปเรื่อยๆ
พลับพลึงถึงกับเซเมื่อวีกิจเดินห่างไปไกล เธอพยายามทรงตัวให้อยู่ตามองไปที่ไวโอเล็ตซึ่งถูกผูกไว้ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก แล้วพยายามเดินไปให้ถึง ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะขึ้นขี่หลังมันกลับบ้านให้จงได้ ทว่า...อยู่ดีๆ พื้นโลกก็เอียงกระเท่เร่ เธอจึงซวนเซแล้วทุกอย่างก็ดับสนิท
