6/4
“ไหนๆ ตากรรก็มาแล้ว ย่าอยากให้ไปช่วยซ่อมเรือนริมน้ำให้หน่อยน่ะลูก ย่าไม่อยู่ป่านนี้ไม่รู้จะผุพังไปมากแค่ไหน ย่าก็เสียดายถ้าจะปล่อยให้ปลวกกินหมด ย่าตั้งใจจะยกที่นั่นให้พลับนอนเล่นอ่านหนังสือ แต่ตอนนี้พลับก็คงไม่มีเวลาจะทำอย่างนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าตาโรจน์จะรื้อวันไหน เฮ้อ...ย่าชอบที่นั่นนะ ถ้าจะรื้อถอนก็เสียดายแย่”
“คุณพ่อไม่รื้อหรอกค่ะ ท่านบอกว่าถ้าคุณย่ามาจะได้มีที่พักผ่อนเอนหลัง แต่ก็ไม่มีใครคอยดูแลตลอดเวลาหรอกค่ะ จะลองไปดูว่ามันผุตรงไหนก็น่าจะดีนะคะ อีกอย่างพลับคิดว่าจะไปนอนเล่นบ่อยๆ ถึงจะแต่งงานแล้วแต่พลับก็ยังจะไปค่ะ”
“งั้นรึ ถ้างั้นไป ไปกับย่า ย่าจะไปดูสักหน่อยว่าทรุดโทรมขนาดไหนแล้ว”
พลับพลึงและกรรชัยช่วยกันประคองร่างคุณย่าขึ้น คนแก่วัย 80 ปัดมือสองข้างที่ช่วยกันพยุงออกแล้วเอ็ดว่าเดินเองได้ไม่ต้องช่วยพยุง ถึงจะแก่แต่ยังช่วยเหลือตัวเองได้อยู่ อย่าทำเหมือนคนแก่สังขารไม่ไหวแบบนี้
นี่แหละคุณย่า ตราบใดที่ยังทำอะไรเองได้ แม้จะเหนื่อยง่ายกว่าคนหนุ่มสาว คุณย่าก็ยังทำทุกอย่างด้วยตัวเอง คุณย่าบอกว่าการได้ขยับร่างกายนิดๆ หน่อยๆ ก็เท่ากับการออกกำลังกาย จะให้นั่งงอมืองอเท้าคนวัย 60 ก็อาจจะเหมือนคนวัย 80 ก็เป็นได้
ดรัณถอดหมวดปีกกว้างเดินเข้ามาในบ้าน ภายนอกยังมีคนงานที่จัดเตรียมงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้อยู่ประปราย แต่ไม่เห็นเงาของเจ้าสาว หรือเจ้าหล่อนจะยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง
ขี้เกียจ!
ร่างสูงเดินลิ่วขึ้นไปชั้นสอง ตรงไปเคาะประตูห้องหออย่างลืมตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นเจ้าของบ้านมีสิทธิ์เข้านอกออกในทุกห้องในบ้านหลังนี้ โดยเฉพาะห้องหอ คิดได้ดังนั้นก็ผลักประตูเข้าไปแล้วก็พบกับความว่างเปล่า ไม่มีเงาของเจ้าสาวอยู่ในนั้น
“ใครเห็นพลับพลึงบ้าง”
ป้าเบียบได้ยินก็หันไปตอบ
“ไม่เห็นค่ะพ่อเลี้ยง”
เท่านั้นพ่อเลี้ยงหนุ่มก็มีท่าทีโมโห เดินปึงปังตามหาตัวเจ้าสาวหมาดๆ ของตนจนทั่วบ้าน หาในบ้านไม่พบ ก็ขี่เจ้าพายุเข้าไปในไร่
“เห็นพลับพลึงไหมวีกิจ”
หัวหน้าคนงานวีกิจส่ายหน้า
“ไม่เห็นครับพ่อเลี้ยง”
ไม่บ่อยนักที่พ่อเลี้ยงหนุ่มรูปงามจะมาปรากฏตัวให้เห็น คนงานสาวน้อยสาวใหญ่ของไร่รุ่งโรจน์ก็พากันเมียงมองป้องปากชี้ชวนให้เห็นเทพบุตรสุดหล่อ ร่างสูงตระหง่านสง่าผึ่งผายในชุดคาวบอยมาดเท่ห์ พกปืนคาดเอวไว้เพิ่มความดิบเถื่อน มองยังไง๊ยังไงก็หล่อเลิศไปทุกกระเบียดนิ้ว
“เห็นทุกทีก็หล่อขึ้นๆ ทุกวันเลยล่ะมั้ง” คนงานสาวคนหนึ่งบอก
“นั่นสิ อิจฉาคุณหนูเนอะ” อีกคนก็จีบปากจีบคอร่วมด้วยช่วยกันนินทาเจ้านาย สายตายังคงมองตามคนรูปงามเนื้อหอมที่เดินลิ่วไปยังบ้านหลังใหญ่ชนิดถอนสายตาไม่ขึ้น
“อิจฉาหรือสงสารดีล่ะ พ่อเลี้ยงน่ะใจร้ายจะตายไป”
“โอ๊ย...หล่อกว่าโรเบิร์ต แพททินสันอย่างนี้ ต่อให้ใจร้ายยังไง ขอให้ได้อยู่ใกล้ก็พอใจแล้ว”
“ไม่ใกล้เปล่าสิยะ ใกล้ชิดสนิทสนมเนื้อแนบเนื้อเลยเชียว ฮิ ฮิ”
“แค่คิดก็ใจละลายแล้วล่ะ”
คนงานสาวๆ ยังคงนินทาเจ้านายต่อไป ปากก็พูดคุยสนุกสนาน มือก็ทำงานของตนไม่ว่าง สายตาก็มองพวงองุ่นสลับกับร่างสูงที่กำลังหายลับไปจากสายตา โชคดีที่พ่อเลี้ยงจอมโหดไม่ได้ยินเข้า ไม่เช่นนั้นมีหวังถูกตวาดหูชาหรือไม่ก็ใช้สายตาเชือดเฉือนให้ขาดใจตายไปตามๆ กัน
ใครๆ ก็ว่าดวงตาของพ่อเลี้ยงดรัณคมยิ่งกว่าใบมีด มองไปที่ใครคนนั้นก็พากันหายใจหายคอไม่คล่อง พูดผิดพูดถูกเสียทุกครั้ง ประหม่าร่ำไปแค่ได้สบสายตาเห็นจะไม่ผิด แต่ดวงตาคู่นี้ถ้าเจือความรักเข้าไปแล้วก็อ่อนเชื่อมล่อให้มดยกขบวนกันขึ้นมาตอมจริงๆ
ดรัณพุ่งตรงไปที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงรุ่งโรจน์ เจอกับแม่เลี้ยงกาญจนากำลังเช็ดทำความสะอาดเครื่องเพชรอยู่ หลังจากหยุดนิ่งทันทีที่เห็น ตาคมก็หลุบมองอัญมณีที่ทอแสงงดงามแวววาวบนโต๊ะ เครื่องเพชรราคาแพงกลับไม่มีค่าในสายตาของเขาเลยสักนิด
“อ้าวดรัณ ท่าทางเหมือนกำลังมองหาใครอยู่”
แม่เลี้ยงกาญจนาทักทายลูกเขยที่อายุน้อยกว่าตนแค่ 10 ปี ละมือจากเครื่องประดับราคาแพงลิบแล้วเงยหน้าขึ้นมองเรือนร่างสูงใหญ่ เธอยอมรับว่าไม่ค่อยพอใจนักที่ดรัณจะผันตัวเองจากน้องเขยมาเป็นลูกเขย แต่วันนี้ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ เธอก็พร้อมใจจะยอมรับสถานภาพใหม่ของเขาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
หวังว่าเขาจะไม่ทำให้บุตรสาวของตนเสียใจก็พอ
“พลับพลึงมาที่นี่หรือเปล่าครับ” เขาละเว้นคำเรียกขานอย่างกระดากปาก เมื่อวานซืนเป็นพี่ วันนี้เป็นแม่ ทำใจยากพอสมควร
“เห็นอยู่แว่บๆ นะ รู้สึกว่าจะเดินตามคุณแม่ไปที่เรือนริมน้ำน่ะ”
“ครับ”
“เดี๋ยวสิรัณ ฉันอยากจะขอ”
ร่างสูงหันมามองแม่เลี้ยงอย่างกังขา คิ้วเข้มเลิกขึ้นเพียงเล็กน้อย แววตาของแม่เลี้ยงบอกอะไรเขาหลายอย่าง แต่ดรัณต้องการคำพูด ต้องการฟังจากปากมากกว่าการเดาใจ ถึงแม้เขาจะเดาใจคนเก่งราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจทุกคนก็ตาม
“เรื่องพลับพลึง ถึงเธอจะไม่รัก แต่เธอปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ฉันก็อยากให้เธอรับผิดชอบชีวิตยัยพลับให้ตลอดรอดฝั่ง ถือว่าฉันขอร้องแล้วกันนะ”
