3/2
“อารัณ พลับร้อน/รัณคะ อิงร้อน”
นี่เขาเป็นอะไรไป ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็น หรือเขาเมาขนาดเห็นพลับพลึงเป็นอิงฟ้า ได้ยินเสียงของพลับพลึงก็เหมือนได้ยินเสียงของอิงฟ้า
“ช่วยพลับด้วย ทำไมพลับร้อนขนาดนี้/ช่วยอิงด้วยค่ะ ทำไมอิงร้อนขนาดนี้”
ภาพของพลับพลึงที่กลายเป็นอิงฟ้า ทำให้ดรัณต้องเบรกรถตัวโก่ง เธอกำลังข้ามเกียร์เข้ามาหาเขา เรือนร่างอันเย้ายวนเต่งตึงและหอมกรุ่นไปทุกสัดส่วนกำลังอยู่ตรงหน้าเขา บนตักเขา
“อิงฟ้า!”
“อารัณขา ถอดเถอะ/รัณคะ ถอดเถอะ”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก ตอนนี้เขากำลังรุมร้อนทั้งที่แอร์รถเปิดจนเย็นยะเยือก ร่างนุ่มที่เบียดกระแซะเข้ามาอยู่บนหน้าขาทำให้เขาตื่นเต้นจนระงับใจกายไว้ไม่อยู่ ผู้หญิงที่อยู่บนตักก็คือ...อิงฟ้า
“อิงจ๋า”
มือหนาเริ่มไต่ไปทั่วร่างบางอย่างสำรวจ ดรัณไม่เคยลืมความรู้สึกนี้ เขาโหยหาเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อิงฟ้า...ยอดรัก ผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ เวลานี้เธอกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว แถมสัดส่วนของเธอยังอวบใหญ่กว่าที่จำได้
“ถอดนะอารัณ/ถอดให้อิงสิคะ”
พลับพลึงไร้สติจะต้านทานความปรารถนา เธอรู้แต่ว่าต้องการแนบชิด ไอร้อนจากร่างของดรัณเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเธอให้หายจากความทรมานนี้ได้ มือบางเกี่ยวลำคอแกร่งแล้วตวัดขาคร่อมหน้าตักของเขาเอาไว้ อะไรบางอย่างที่อยู่ใต้ร่างและกำลังเปลี่ยนแปลงขยายใหญ่อยู่ใต้กางเกงยีนสีเข้ม ผ้าหนาๆ ของมันทำให้ต้นขาอวบนวลนุ่มระคาย เธอจึงลดมือลงแล้วรูดซิปแข็งๆ ให้ผ้าหยาบกระด้างแยกออกจากกัน
“อิงฟ้า...ผม...”
ไฟหน้ารถที่สวนกันไปมานอกกระจกด้านขวาของลำตัว เรียกให้ดรัณครองสติแล้วใส่เกียร์รถเหยียบคันเร่ง มองข้ามบ่าคนตัวเล็กเห็นซอยเปลี่ยวอยู่ข้างซ้าย เขาไม่รอช้ารีบเลี้ยวรถเข้าไปในซอย ในตอนนั้นอะไรต่อมิอะไรที่ซุกซ่อนอยู่ในกางเกงมาแสนนานก็ลุกพรวดออกมาจากแนวซิป
พลับพลึงเบียดคลึงทรวงอวบอัดเข้ากับอกล่ำๆ แข็งไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างทรมาน ก่อนจะชูแขนทั้งสองขึ้นให้ชายหนุ่มถอดชุดสวยออกจากร่าง
“พลับร้อน/อิงร้อน”
“ผมก็ร้อนอิง”
เพราะสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้ดรัณลืมตัวไปไกล เขาเห็นพลับพลึงเป็นอิงฟ้า จึงไม่ลังเลที่จะมอบตัวตนให้เธอ และเพราะพลับพลึงเป็นสาวบริสุทธิ์ต่างจากอิงฟ้า การแทรกตัวตนเข้าไปอย่างลึกล้ำก็ทำให้เธอก็กรีดร้องจนเสียงเล็ดลอดตัวรถออกมา
“กรี๊ด!!! เจ็บ พลับเจ็บ”
ตอนนี้ทำไมไม่ใช่เสียงอิงฟ้า ดรัณเงยหน้าจากทรวงอกอวบใหญ่ละลานตาที่กำลังฝังใบหน้าลงไปคลุกเคล้า เห็นอิงฟ้ากลายเป็นพลับพลึงก็ตกใจ
“พลับ!!! ทำไม!” เขาครวญเอาคำตอบ ทว่าได้ยินแต่เสียงครางรวดร้าวอย่างเจ็บปวด
“ฮือๆ เจ็บ พลับเจ็บ อา...” เจ็บจนครวญครางแทบไม่เป็นภาษา
“อย่า...อย่าขยับสิอิง เอ่อ...พลับ” ดรัณอยากจะยกร่างน้อยออกถ้าเธอจะไม่ทำให้เขาสูญเสียความควบคุม และเสียกำลังใจจะต่อต้าน ความคับแน่นและเยื่อบางๆ ที่กำลังรับรู้ว่าเป็นคนแรกได้ฝ่าด่านสำคัญนี้ ชายหนุ่มบอกตัวเองไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร เธอทำให้เขาหลงลืมแม้กระทั่งความถูกต้อง
พลับพลึงหยุดนิ่งไม่ได้ เธอส่ายร่อนทั้งที่ยังเจ็บแปลบ สะโพกสาวลอยคว้างทุกรุกล้ำกลางอากาศ อาการเกร็งสะท้านยังคงมีให้เห็นตลอดเวลา
“โธ่เว้ย!!! ถ้าเธอไม่หยุดร่อนสะโพกงามๆ ของเธอล่ะก็นะ ทั้งฉันและเธอจะต้องเจ็บแบบนี้ไปอีกนาน”
หญิงสาวไม่เข้าใจในความหมาย เธอรู้เพียงแต่ว่าต้องการและต้องได้ ปากก็ปฏิเสธสั่งให้เอาออกแต่การกระทำมันสวนทางโดยสิ้นเชิง เธอไล่ไขว่คว้าทุกอย่างที่อยากครอบครอง เหนี่ยวต้นคอหนาให้ใบหน้าคมเข้มและหนวดเคราครูดไปกับอกอิ่ม ทั้งส่ายวนยั่วยวนอย่างไม่รู้ตัว
ดรัณรู้แล้วว่ายาที่นฤดลใส่ให้สาวน้อยกินคือยาปลุกเซ็กซ์ หรือที่กลุ่มวัยรุ่นเรียกกันว่า ‘ยาเสียสาว’
เมื่อเตือนก็แล้วหญิงสาวยังบังคับให้ตัวเองหยุดนี่ไม่ได้ ชายหนุ่มก็ต้องใช้วิธีกดสะโพกสาวหนักๆ กดเน้นแล้วเสยตัวตนขึ้น ได้ผลชะงัด เพราะแรงผลักพรวดทีเดียวเข้าไปจนหมดตัวตนที่แท้จริง ตรึงหญิงสาวให้หยุดนิ่งด้วยความคับแน่นที่แสนอึดอัด ความเจ็บแปลบดูจะมีมากขึ้นแต่ชั่วครู่เท่านั้นเธอก็เริ่มขยับสะโพกขอการเติมเต็มในบางสิ่งที่ขาดหาย
การเรียกร้องอ้อนวอนของเธอ มันทั้งทำร้ายและผลักดันให้เขารุนแรงขึ้น ดรัณจำต้องปล่อยตัวปล่อยใจให้เคลิ้มไปกับรสหวานที่กำลังบาดลึก ถึงแม้ว่าผู้หญิงที่ทำให้เขาหมดความยับยั้งชั่งใจจะเป็นพลับพลึงหาใช่อิงฟ้า แต่ตอนนี้ชายหนุ่มไม่อาจถอนตัวจากรสสวาทที่อยู่ตรงปลายจมูกได้เลย ก็เธอทั้งหวาน ทั้งเย้ายวน ทั้งแน่นและบีบรัดเสียจนแทบครางไม่ได้
ทรวงเต้าเต่งตึงที่สะบัดขึ้นลงอยู่ตรงหน้าช่างได้รูปกลมเกลี้ยงสวยสด ปลายถันชี้ชูน่ารักไม่ต่างจากดวงหน้าสวยเฉี่ยว เสน่ห์ของพลับพลึงที่เขาไม่เคยเห็นมันมากมายขนาดนี้เชียวหรือ เด็กสาวแก่นแก้วน่ารักสดใสมองกี่ครั้งก็สบายตา เห็นเธอยิ้มทุกคนก็ต้องยิ้มตอบ ทว่าตอนนี้ไม่ใช่แค่รอยยิ้มที่ตรึงสายตาได้ทุกคู่ ไม่ใช่ความน่ารักสดใส แต่เป็นความสวยอันมากล้นไปด้วยเสน่ห์ที่เกินกว่าจะลืมเลือนได้ลง
“อารัณ...อารัณ...พลับ...พลับ”
