2/2
“นั่นสิจ๊ะ ไร่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแบบนี้ก็ต้องช่วยกันดูแลถึงจะถูก แต่แบบนี้หนูพลับคงเหนื่อยไม่น้อย”
“เมื่อก่อนก็ยังไม่ขยันขนาดนี้หรอกค่ะ ยังมุดรั้วไปเที่ยวเล่นไร่อิงฟ้าประจำ ตอนนี้คงคิดได้แล้วว่าควรช่วยพ่อกับแม่ ถึงไม่ค่อยเห็นหนีไปอยู่ไร่โน้นอีกแล้ว” แม่เลี้ยงเพียงแค่จะเย้าลูกสาว หารู้ไม่ว่าประโยคนั้นจะทิ่มใจพลับพลึงจนหน้าเปลี่ยนสีไปนิด
หลังจากวันที่เธอตบหน้าพ่อเลี้ยงดรัณ เธอก็ไม่ได้โผล่หน้าไปให้เขาเห็นอีก รู้แต่ว่าวีกิจยังคงทำงานอยู่ที่นี่ไม่ได้ถูกไล่ออกอย่างที่คิด
“อย่างว่านะคะ หนูพลับยังเด็ก ยี่สิบหรือยังไม่รู้นะคะ”
“21 ปีแล้วค่ะ จะว่าเด็กก็ไม่ผิด แต่วัยนี้สมควรจะเรียนรู้เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องทำได้แล้ว ดิฉันเคยหวังว่าเค้าจะรับช่วงต่อดูแลไร่แทน แต่ก็ไม่อยากขัดใจ เห็นว่าชอบศิลปะและอยากทำงานที่ใจรักก็ตามใจ ทางนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“ถึงวันนั้นหนูพลับก็คงจะออกเรือนไปแล้ว พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงก็คงจะได้ลูกเขยมาช่วยดูแลกระมังคะ”
พลับพลึงฟังคำสนทนาเหล่านั้นแบบเข้าหูขวาออกหูซ้าย เรื่องแต่งงานยังไม่อยู่ในสมอง เพราะยังไม่เจอคนถูกใจรักใคร่ กับคนที่รักจริง รักฝังลึกอยู่ในใจ เขาก็คงไม่มีตาจะเหลียวมองใครอีก คิดแล้วก็เศร้าใจจนเผลอถอนใจออกมาเสียงดัง
“ถอนใจอะไรลูก นี่คงเหนื่อยมากสินะ ไปอาบน้ำแล้วลงมาทานข้าวเย็นด้วยกันจะได้ไปพักผ่อนเอาแรงไป๊”
หญิงสาวพยักหน้ายินดีนักทีต้องเอ่ยขอตัวกับแขก เธอเห็นสายตาของนฤดลที่มองตามไม่มีหลบก็นึกเซ็ง ต่อให้เขามองเธอทะลุถึงขั้วหัวใจ เธอก็ไม่มีสายตาจะทอดให้เขามากกว่านี้
ทิวเขาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตามีแต่โอโซนบริสุทธิ์ให้สูดหายใจจนชุ่มปอด ในเวลาเย็นย่ำเช่นนี้นฤดลขับรถมาที่ไร่รุ่งโรจน์ด้วยหวังจะเข้าไปพูดคุยเพิ่มระดับความสนิทสนมกับลูกสาวเจ้าของไร่ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจังหวัด รองจากไร่อิงฟ้า รถเก๋งสีแดงเปิดประทุนคันโก้ราคาหลายล้านถูกใช้งานผิดที่ผิดทาง ฝุ่นดินฟุ้งแดงกระจายเป็นหมอกควันให้เจ้าของรถต้องปัดมือไปตามเสื้อผ้าหน้าผมไล่ฝุ่นออก
“ถ้าไม่ติดว่าต้องอวดสาว กูจะไม่เอาคันนี้ออกมาแน่”
นฤดลถึงกับไอค่อกแค่กก่อนจะลุกออกจากรถเท้าสะเอวมองฝุ่นลูกรังสีแดงจับรถจนหนา จะปิดประทุนก็กลัวไม่เท่ห์จำต้องหาผ้ามาเช็ดออก ลำบากแต่ต้องทนหากคิดจะวางเหยื่อให้ปลาติดเบ็ด
เสียงฝีเท้าม้าตะลุยฝุ่นจนฟุ้งตรงลิ่วมาหา นฤดลสบถหยาบคายแล้วค่อยเบิกตากว้างเมื่อม้าสีขาววิ่งเข้ามาใกล้เห็นจ๊อกกี้สาวที่ควบห้อตะบึงเข้ามาใกล้ๆ
“น้องพลับพลึงนี่หว่า”
พลับพลึงควบม้ามาหยุดตรงหน้านฤดลด้วยความสงสัย และเพราะอยู่ในฐานะเจ้าของไร่จึงกระโดดลงจากหลังเจ้าสโนไวท์เพื่อทักทายแขกผู้มาเยือน (โดยไม่ได้รับเชิญ)
“สวัสดีค่ะพี่ดล มาหาคุณแม่หรือคุณพ่อคะ”
ท่วงท่าสง่างามในยามอยู่บนหลังม้ายังไม่สวยงามเท่าท่าที่เธอสปริงตัวลงจากหลังม้า ร่างระหงในชุดทะมัดทะแมงเหมือนที่เคยเห็น ต่างกันตรงวันนี้พลับพลึงสวมกางเกงขี่ม้าแทนกางเกงยีน รัดแน่นไปทุกส่วนสัดเหลือเกินแม่เจ้าโว้ย!
“พี่มาหาน้องพลับล่ะจ้ะ ไม่รู้ว่าน้องพลับออกไปขี่ม้า ไม่อย่างงั้นพี่จะได้ขี่ม้ามา เผื่อว่าเราจะออกไปขี่ม้าด้วยกัน”
ที่จริงนฤดลขี่ม้าไม่ได้เรื่องเลยต่างหาก เขาเป็นพวกชอบความสะดวกสบาย ขับรถคันโก้ปิดประทุนเปิดแอร์เย็นฉ่ำมากกว่าจะชอบตากแดดตากลมอยู่บนหลังม้า แต่ถ้าต้องลงทุนเพื่อแลกกับกำไรอันงดงามแล้วล่ะก็ เขายินดีทำ อาจจะต้องลงทุนฝึกซ้อมการขี่ม้าให้มากขึ้นก็ยอม
“งั้นหรือคะ ถ้างั้นวันหลังพี่ดลก็ขี่ม้ามานะคะ หรือจะเอามาที่ไร่ก็ได้ แต่...มันไม่ค่อยเชื่องกับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไร่เราไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่ พี่ขี่ม้ามาหาก็ได้ แต่ต้องเป็นวันหลังนะจ๊ะ”
“ค่ะ ตามแต่พี่ดลจะสะดวกเถอะ แล้วนี่มีเรื่องอะไรกับพลับหรือเปล่าคะ”
“พี่ว่าจะชวนน้องพลับไปเที่ยวน่ะจ้ะ เพื่อนพี่เพิ่งเปิดผับในเมือง เป็นผับที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเลยนะจ๊ะ ไม่รู้ว่าน้องพลับจะให้เกียรติพี่ดลหรือเปล่าน้อ”
“พลับไม่ชอบเที่ยวสถานที่แบบนั้นเท่าไหร่หรอกค่ะ” เธอบอกตามตรง แล้วต้องหันไปมองเมื่อเห็นรถโฟล์วีลล์คันใหญ่ของไร่ข้างๆ วิ่งใกล้เข้ามา ทางเส้นนี้เป็นทางเข้าที่แชร์กันระหว่างไร่รุ่งโรจน์กับไร่อิงฟ้าเพื่อการเดินทางที่สะดวกขึ้น สุดปลายทางสายนี้ก็คือสุดเขตแดนของไร่อิงฟ้า ที่นั่นจะมีน้ำตกสายเล็กๆ แต่งดงามตามธรรมชาติอยู่ด้วย
พ่อเลี้ยงดรัณลดกระจกลงเพื่อมองพลับพลึงกับนฤดล เขารู้จักเสือผู้หญิงอย่างนฤดลดี ไอ้หมอนี่ไม่เป็นโล้เป็นพายดีแต่เคลมผู้หญิงไปวันๆ นี่ก็คงจะมาติดพันพลับพลึงสินะ ตาคมภายใต้แว่นกันแดดสีดำจับจ้องใบหน้าอวดดีของหญิงสาว เธอเชิดหน้าใส่เขาแล้วหันไปยิ้มหวานให้นฤดล
เห็นแบบนั้นแล้วเรียวปากหนาก็บิดเบ้ แล้วรถคันโตก็เคลื่อนตัวจากไปฝุ่นตลบ
“โอ๊ย!!! พ่อเลี้ยงดรัณนี่ไม่น่าคบเลยให้ตายสิ ดูซิขับรถไม่เกรงใจคนยืนอยู่บ้างเลย” นฤดลบ่นกระปอดกระแปด ฝุ่นดินแดงฟุ้งจับเส้นผม ใบหน้า เสื้อผ้า และรถคันหรูหมดแล้ว
