บท
ตั้งค่า

2-แค่เพียงบังเอิญ 3/4

(“ไม่นึกฝันว่าเราจะได้เจอกันในเวลานี้ เจ้านางน้อยผณินทร”)

“เฮือก! 0.0”

ร่างสูงใหญ่ปีกหนาค่อย ๆ โฉบบินลงมาสู่พื้นดินพร้อมกับประกายรัศมีสีขาว ก่อนจะผันกลายเป็นร่างมนุษย์กำยำยืนตรงหน้าของฉัน คนที่มาใหม่ทำให้ฉันรับรู้ทันทีว่าเป็นใคร กาลัดกับกลีบบัวรีบเข้ามายืนบังด้านหน้าของฉัน พร้อมกับกางแขนออกทั้งสองข้างอย่างปกป้อง

“เวนไตย?” ฉันพูดชื่อของคนตรงหน้าออกมาเบา ๆ พร้อมกับจดจ้องมองหน้าอย่างใจสู้ ทั้งที่ภายในอกนั้นสั่นเทิ้มหวาดกลัว ทำเป็นใจดีสู้เสือเพื่อไม่ให้ศัตรูได้ใจ

“ปลื้มใจเหลือเกินที่เจ้านางน้อยผู้สูงศักดิ์ยังจดจำนามของข้าได้” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มร้ายกาจ พร้อมกับก้าวขาเดินเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้า กลีบบัวและกาลัดก็ดันให้ฉันเดินถอยหลังออกห่างก้าวต่อก้าวเช่นกัน

“ท่านอย่าคิดแตะต้องเจ้านางน้อยเด็ดขาด” กาลัดพูดขึ้นอย่างไม่คิดกลัว

ฉันจ้องมองคนที่กลายร่างเป็นคนยืนตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาดูร้ายกาจจนทำให้ฉันขนลุกไปทั้งตัว ขาค่อย ๆ ขยับถอยออกห่างทีละก้าวอย่างเชื่องข้า จับสังเกตพฤติกรรมว่าจะกระทำอะไรที่มันไม่น่าไว้ใจมากกว่านี้ไหม จะได้หาทางหนีทีไล่ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าพวกฉันต้องเจออันตรายแค่ไหนบ้าง ยิ่งเขาขวางทางดักหน้าแบบนี้ ฉันยิ่งหวั่นกลัววิชาความรู้ป้องกันตัวก็ยิ่งไม่มี หรืออาจจะมีเพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าต้องใช้ยังไง

“หึ คนที่เราชมชอบจะทำให้บอบช้ำได้เยี่ยงไร” เขายกยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาเพ่งมองมาทางฉัน ขาก็ยังคงก้าวเข้ามาเรื่อย ๆ

“ก็ลองดูสิแม่จะฟาดให้” ฉันทำใจดีสู้เสือเอ่ยออกไป ไม่อยากให้เขากำแหงได้ใจ

“สมแล้วที่เป็นเจ้านางน้อยแห่งมคธนคร วาจาช่างเก่งกล้านัก” ที่ฉันข่มไปเวนไตยไม่มีท่าทีว่าจะกลัวสักนิด

แสงสีขาวเปล่งประกาย ก่อนที่งูใหญ่จะกลายร่างเป็นคนมาหยุดตรงหน้ากำบังให้พวกฉันทั้งสาม ทำให้ฉันรู้สึกโล่งอกหายใจได้คล่องขึ้น รู้สึกว่าฉันปลอดภัยแล้วเมื่อเห็นเขา

“นี่เป็นเขตของมคธนคร และยังเป็นเขตหวงห้ามของเจ้านางน้อย เหตุใดท่านเวนไตยถึงได้อาจหาญ กล้ามารุกรานเช่นนี้...กลับไปเสียเถิดอย่าให้เกิดความโกลาหล สร้างเรื่องราวเข้าถึงพระกรรณเจ้าหลวงเลย” อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยท่าทียำเกรงนิ่งขรึม

“ก็แค่อยากเห็นใบหน้าคนที่ข้ารักก่อนเข้านอน”

“เห็นแล้วก็กลับไปซะสิ”

เวนไตยพูดขึ้นด้วยท่าทางน่าสะอิดสะเอียด ฉันจึงพูดต่ออย่างไม่รีรอ เพราะเขาดูไม่น่าไว้ใจ และฉันก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับคนผู้นี้

“เจ้านางน้อยมิใช่สตรีที่ท่านจะแทะโลมเช่นนี้ได้ กลับไปเสียเถิดอย่าให้ข้าต้องลงมือเป็นหนที่สอง เพราะครั้งนี้ข้าจะไม่ออมมือเป็นแน่”

“สุดยอดไปเลยค่ะท่านองครักษ์” ฉันยกนิ้วหัวแม่มือชูขึ้น อดไม่ได้ที่จะชื่นชมคำพูดขององครักษ์ที่น่าเกรงขามอย่างเผลอลืมตัว ทั้งกาลัดและกลีบบัวหันมองหน้าฉันด้วยสีหน้างุนงงเป็นสายตาเดียว

“ขี้ช้าเช่นเจ้าไยจึงวาจาสามหาวเช่นนี้” เวนไตยต่อว่าอาศิรวิษด้วยแววตาแข็งกร้าว ราวโกรธแค้นกับคำพูดที่หักหน้า

“แล้วเหตุใดผู้เป็นนายเหนือหัวเช่นท่านถึงได้ละลานสตรีไม่หยุดหย่อน เพลานี้มันเหมาะแล้วหรือไรที่จะพบเจอ...ไยท่านถึงได้เสมือนค้อนด้ามหักไร้ซึ่งประโยชน์นัก” อาศิรวิษว่าขึ้น ทำเอาฉันต้องตะลึงหันไปมองเขาทันที นี่เขากำลังด่าเวนไตยว่าโง่ไร้สมองใช่ไหม หรือฉันเข้าใจอะไรผิดไป

“เจ้า!!!” เวนไตยถึงกับชี้หน้า พร้อมดวงตาที่เปล่งรัศมีแห่งความแค้น

“เชิญกลับที่ที่ท่านจากมาเสียเถิดท่านเวนไตย อย่าได้สร้างความขัดแย้งไปมากกว่านี้เลย” อาศิรวิษพูดพร้อมกับเดินทีละก้าวเข้าไปใกล้ ท่าทางน่ายำเกรงทำให้เวนไตยหน้าเจื่อนลง แต่ยังคงวางท่าคงไว้

“เป็นเพียงองครักษ์แต่กับไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” เวนไตยกล่าวตำหนิ

“ข้าก็เป็นเช่นนี้ หยาบคายไร้มารยาทเป็นองครักษ์ที่รู้จักแต่สู้รบ แล้วไยท่านเวนไตยถึงยังลดตัวต่อวาจากับข้าต่ออีก”

“อย่าให้ถึงทีของข้าก็แล้วกัน!”

“ข้าจะรอวันนั้น”

ประจันคำพูดท้าทายกันจบสิ้น เวนไตยก็เปลี่ยนร่างเป็นครุฑเหาะเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า บินไปตามเส้นทางของเขา ส่วนฉันก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าจะถึงครุฑคาบไปกินซะแล้ว

“สุดยอดไปเลยค่ะท่านองครักษ์ ปากโคตรแจ๋ว” ฉันขยับไปยืนตรงหน้าอาศิรวิษ แล้วเอ่ยชมด้วยความอารมณ์ดี

(((ปากโคตรแจ๋ว?)))

“เอ่อ...ช่างเถอะน่า เอาเป็นว่าเก่งมากก็แล้วกัน”

คำพูดของฉันคงจะแปลกสำหรับพวกเขามากเหลือเกิน พูดจบทั้งสามคนก็ขมวดคิ้วเป็นปม มองมาทางฉันเป็นสายตาเดียวด้วยสีหน้างวยงง ฉันจึงรีบพูดปัดไม่ให้พวกเขาสนใจ

“เจ้านางน้อยวาจาประหลาดนักเพคะ” กลีบบัวเกาหัวหงิกแล้วพูดขึ้น

“เดี๋ยวก็ชินเองแหละน่า” ฉันบอก

“พระองค์มาทำกระไรมืดค่ำพ่ะย่ะค่ะ เป็นสตรีหาสมควรไม่”

“ก็ได้ยินเสียงดังเลยวิ่งมาดู ใครจะรู้ว่าต่อสู้ฆ่าฟันกันล่ะ”

“พระองค์มิควรอยากรู้ให้มากมาย เพราะมันอาจจะเป็นภัยกับพระองค์เอง”

“นี่นายว่าฉันขี้เสือกเหรอ?”

“...พาเจ้านางน้อยกลับเข้าตำหนักเถิด”

“เสด็จกลับเถิดเพคะเจ้านางน้อย”

ฉันหัวร้อนทันทีเมื่อนายองครักษ์หลอกด่า เขม่นสายตามองเขาด้วยความโมโห ตั้งท่าจะเดินเข้าไปประชิด แต่กาลัดกับกลีบบัวจับแขนฉันไว้ก่อน เป็นองครักษ์ที่ปากเสียมาก

“กลับอะไรล่ะ นายองครักษ์ด่าฉันอยู่นะ แค่บังเอิญมาเจอเท่านั้นไหมล่ะ”

“ยกขายกแข้งไม่งามเพคะเจ้านางน้อย เชื่อฟังท่านอาศิรวิษเถิดเพคะ”

“ไม่เชื่อ ไม่ฟัง แบร่!”

ฉันโวยวายในขณะที่กลีบบัวและกาลัดลากแขนออกมา แอบเห็นอาศิรวิษส่งสายตาเป็นสัญญาณและทั้งสองคนดันดูเชื่อฟังเขาซะอย่างนั้น สรุปใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าวกันแน่!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel