2-แค่เพียงบังเอิญ 4/4
“เจ้านางน้อยแสดงกิริยาเช่นนั้นไม่งามเจ้าค่ะ เสด็จกลับเถิดเพคะ” กาลัดยังคงพูดกรอกหูของฉัน พร้อมกับลากแขนไปพลาง
“น่าโมโหชะมัด เขาด่าฉันชอบเสือกนะ...คิดว่ากลัวหรือไง!” ฉันหยุดเดินแล้วมือเท้าสะเอวพูดกับสองสาว ตามด้วยประโยคหลังตะโกนกลับหลังหวังให้เขาได้ยิน
“ชู่...เบาเสียงเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวปรามฉัน
“ก็ดูสิเขาปากเสียขนาดนั้นนะ ไอ้คนบ้า!” แต่อารมณ์ของฉันมันเดือดมาก
“เบา ๆ เพคะเจ้านางน้อย เดี๋ยวท่านอาศิรวิษก็ได้ยินนะเพคะ” กาลัดปรามอีกเสียง แถมยังเอามือปิดปากของฉันไว้อีก
“ได้ยินก็ได้ไปสิใครกลัวเขากัน” อารมณ์ร้อนปะทุจนห้ามไม่ไหว ฉันหันหลังกลับแล้วแหกปากพูดเสียงดังอีกครั้ง แต่...
“ไม่กลัวกระหม่อมอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ม ม ไม่กลัว ทำไมต้องกลัวด้วย”
การมาที่ไร้เสียงทำให้ฉันตกใจจนพูดออกไปตะกุกตะกัก มองหน้าที่แสนจะเย็นชาด้วยความหวาดหวั่น สายตาของเขานั้นฉันเดาไม่ออกเลยว่ากำลังรู้สึกหรือนึกคิดอะไร มันดูว่างเปล่าซะเหลือเกิน
“เจ้านางน้อยเพคะ” กลีบบัวกระตุกแขนฉัน แล้วพูดเสียงอ่อนย้ำเตือนอยู่ข้าง ๆ
“ทรงลืมแล้วหรืออย่างไรว่าแม้จะเป็นองครักษ์ประจำกายของพระองค์ แต่ท่านอาศิรวิษก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าหลวงนะเพคะ...นับเป็นพระเชษฐาของเจ้านางน้อยเช่นกัน” กาลัดกระซิบข้างหูฉัน
(“พระเชษฐา!? พี่ชาย!”) สิ่งที่กาลัดบอกทำให้ฉันเบิกตากว้างทันที ลูกบุญธรรมอย่างนั้นเหรอ ทำไมเขาถึงได้ดูเจียมตัวจนฉันมองไม่ออกเลยล่ะ
“จริงปะเนี่ย?” ฉันด้วยท่าทางตกตะลึง
“จริงแท้เพคะ” กลีบบัวจึงยืนยันย้ำชัดอีกครั้ง ทำให้ฉันต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“โอเค ใจเย็น ๆ” ฉันยืนหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
“เสวนากันเสร็จเรียบร้อยหรือยัง” ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก แค่ฟังก็ทำเอาขนแขนของฉันลุกชัน
“ทำไมต้องดุด้วย” ฉันมองหน้าเขาและพึมพำเบา ๆ ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่คนที่ยืนตรงข้ามกับนิ่งขรึมเย็นชา
“พวกเจ้าสองคนกลับไปเตรียมเครื่องนอนให้เจ้านางน้อยเถิด ข้าขอเสวนากับเจ้านางน้อยสักประเดี๋ยวจะเป็นคนไปส่งที่ตำหนักเอง”
(“เจ้าค่ะ”)
“ไม่นะ...กลีบบัว! กาลัด! รอด้วย...ว้าย!”
เพียงแค่อาศิรวิษออกคำสั่งทั้งสองคนก็เชื่อฟังอย่างว่าง่าย ค่อมตัวทำความเคารพแล้วเดินจากไป ทิ้งฉันเอาไว้ข้างหลังเผชิญกับคนเย็นชาเพียงลำพัง ตอนนี้สายตาเฉี่ยวที่มองมา ฉันไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดหรือจะทำอะไรหลังจากนี้ ก้าวขาจะวิ่งหนีตามกลีบบัวกับกาลัดไป ทว่ากับถูกมัดด้วยอิทธิฤทธิ์อะไรบางอย่างจนฉันนิ่งกับที่
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!” ฉันจ้องตาเขม็งอย่างเอาเรื่องเมื่อเขาเดินมาหยุดเคียงข้าง
“เอาล่ะตอนนี้ไม่มีบริวารการที่เราสองคนจะเสวนากันย่อมเป็นกันเอง เฉกเช่นที่เราเคยพูดคุยเสวนากัน อาการป่วยเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“ไม่บอก!”
“ทำไมถึงได้ไม่เหมือนเช่นเดิมเล่า อย่างกับคนละคน”
(“ก็มันคนละคนกันนี่หว่า”)
คำพูดคำจาของฉันคงต่างกันลิบลับกับผณินทรจนทำให้อาศิรวิษจับสังเกตได้ ฉันก็ได้แต่บอกเขาในใจว่าสิ่งที่เขารู้สึกนั้นถูกต้องแล้ว แต่ฉันไม่สามารถอธิบายได้มากกว่านี้ แล้วถ้าบอกว่าฉันไม่ใช่เจ้าของร่างจะมีใครเชื่อฉันไหมล่ะ
“พี่เพียงอยากถามไถ่อาการของน้องแต่ช่างยุ่งเรื่องงานราชงานหลวงนัก ตอนนี้มีโอกาสแล้ว จึงอยากถามเพราะเป็นห่วง” น้ำเสียงของเขาที่พูดออกมาช่างแตกต่างกับก่อนหน้าเสียเหลือเกิน น้ำเสียงฟังแล้วอบอุ่น ละมุนหู ทำให้ฉันต้องเก็บความดื้อรั้นลง
“หายแล้วไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ...เจ้าค่ะ” ฉันตอบเขาด้วยความเคยชินกับภาษาที่ใช้ในโลกของฉัน แต่พึงนึกได้จึงรีบเปลี่ยนคำลงท้ายตามสถานการณ์ และฉันคงต้องพยายามพูดภาษาถิ่นให้คุ้นชินไว ๆ
“แต่น้องช่างเปลี่ยนไปมากนัก คงเพราะอาการเลอะเลือนยังคงอยู่ตามที่หมอหลวงกล่าวไว้”
“ฉันไม่ได้บ้าบอวิปลาสนะ”
“พี่ก็ไม่ได้บอกเช่นนั้น เอาล่ะไม่เถียงกับน้องแล้ว รีบเข้านอนเถิด”
“จะให้เดินยังไงล่ะ ถูกมัดแน่นแบบนี้” ฉันก้มมองไปยังส่วนที่ถูกมัด พร้อมกับบอกให้เขารับรู้ สักพักความแน่นก็คลายเป็นอิสระ เขาเดินนำหน้าฉันแต่ไม่ทิ้งห่าง มองจากด้านหลังทำให้ฉันคิดถึงพี่น้ำมาก
“แล้วปกติฉันเรียกนายว่ายังไงเหรอ”
“การพูดจาก็แปลกประหลาดนัก”
“เอาใหม่...ก่อนหน้าหนู เอ๊ย น้องเรียกท่านว่าอะไร”
“แล้วแต่อารมณ์ของน้อง บางคราก็เรียกขานว่าเจ้าพี่ หรือบางทีก็เรียกขานเพียงชื่อเท่านั้น”
“เธออารมณ์แปรปรวนขนาดนั้นเลยเหรอผณินทร”
“เอาเป็นว่าน้องจะเรียกให้ชินปากว่าเจ้าพี่นับจากตอนนี้แล้วกันนะคะ เจ้าพี่อาศิรวิษ”
ฉันพูดกับเขาด้วยความรู้สึกที่แปลกไปจากก่อนหน้า อาศิรวิษไม่ได้พูดตอบอะไรทำเพียงมองหน้าของฉันพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาเท่านั้น และฉันให้การยืนยันในการเรียกขานระหว่างกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ถึงความเย็นชาของผู้ชายคนนี้ ที่เก็บซ่อนความอบอุ่นและอ่อนโยนไว้ไม่น้อย เขาคงจะมีให้เพียงผณินทรคนเดียวนั่นแหละ ถ้าหากวันหนึ่งวันใดเขารู้ว่าฉันไม่ใช่เธอ ทุกอย่างก็คงจะเปลี่ยนไป...
“น้องรีบเข้าตำหนักเถิด แล้วอย่าได้ซุกซนอย่างเช่นวันนี้อีก เพราะบางครั้งพี่ไม่อาจจะปกป้องน้องได้ตลอดเวลา...อย่าพาตัวเองไปเจออันตรายเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“กลีบบัวกับกาลัดรออยู่ รีบไปเถิด พี่จะมองดูน้องจนกว่าจะลับสายตา และรู้ว่าปลอดภัยดี”
“โอเค กู๊ดไนซ์ค่ะเจ้าพี่อาศิรวิษ”
พูดจบฉันก็รีบวิ่งเข้าไปหากลีบบัวกับกาลัดที่ยืนรออยู่ตรงทางเข้า โดยไม่หันกลับหลังไปมองอาการคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฉันเผลอพูดภาษาของฉันออกไปเขาคงยืนงงและคงอยากรู้ความหมายแน่ ๆ ฉันนึกสีหน้าของเขาออกในมโนภาพ ได้แต่หัวเราะกับสิ่งที่วาดในหัวช่างตลกสิ้นดี
