2-แค่เพียงบังเอิญ 2/4
“โอ้แม่เจ้า! มันตัวอะไรวะนั่น”
ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปยังกลางอากาศ ความใหญ่โตของสิ่งตรงหน้าทำเอาฉันอ้าปากค้างและรู้สึกกลัว ตัวหนึ่งเหมือนนกยักษ์ ส่วนอีกตัวเหมือนกับพญางูใหญ่กำลังต่อสู้กัน หัวใจของฉันเต้นระส่ำและกลัวมาก อยากจะวิ่งหนีไปหลบแต่ขาดันก้าวไม่ออกเสียอย่างนั้น ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเงยหน้ามองดูเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างสิ่งมีชีวิตแสนแปลกประหลาดด้วยความหวาดหวั่น
“นั่นมันท่านอาศิรวิษนี่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนก
“จริงด้วย” กาลัดเอ่ยตาม
“!!!” ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งประหนึ่งคนหยุดหายใจ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่การต่อสู้และสิ่งตรงหน้าทำให้ฉันกลัวจนตัวเริ่มสั่น อยากจะก้าวขาวิ่งหนีแต่ก็เหมือนมีใครฉุดไว้ จึงทำได้เพียงกลั้นลมหายใจกัดฟันมองดูภาพตรงหน้า พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว
“เจ้านางน้อยหลบเถิดเพคะ” กาลัดจับแขนของฉันไว้
“ข ข ขาฉันก้าวไม่ได้ อยากวิ่งตั้งนานแล้ว” แต่ขาเจ้ากรรมดันแข็งทื่อประหนึ่งท่อนไม้
“ขยับสิเพคะเจ้านางน้อย อันตรายนักหากยังยืนอยู่ตรงนี้” กลีบบัวพูดด้วยความวิตกลนลาน
ทั้งกาลัดและกลีบบัวพยายามยกขาของฉันให้ก้าวเดิน แต่มันก็แสนจะลำบากเหลือเกิน ยิ่งฉันอยากจะวิ่งให้เร็วเท่าไหร่ แต่ขาของฉันก็ดันสู้กลับไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย
“ไอ้ขาบ้ามาแข็งอะไรตอนนี้!” ฉันทะเลาะกับขาตัวเอง พยายามอย่างมากเพื่อให้มันก้าวเดิน
ตู้ม!
“ว้าย!”
((เจ้านางน้อย))
เสียงของการต่อสู้ แสงประกายที่แสบตาปะทะลงมายังพื้นดิน ทำให้ฉันหวีดร้องด้วยความตกใจ ทรุดตัวลงนั่งมือปิดหูไว้ ตอนนี้หัวใจของฉันเต้นเร็วมากกว่าเดิม ตัวสั่นกลัวอย่างกับจับไข้ กาลัดและกลีบบัวรีบประคองฉันให้ลุกยืน สติของฉันกระเจิงในใจล้วนมีแต่ความหวาดกลัว เหตุการณ์แสนเลวร้ายแบบนี้ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยพบเจอมาก่อน ทำให้ฉันตั้งหลักไม่ถูก
“ก กลีบบัว กาลัดฉันกลัว ฮือ” ไม่ไหวกับความรู้สึกในใจ ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอาย น้ำตาไหลพรากเป็นสายอาบสองแก้ม ขาที่แข็งทื่อเริ่มขยับก้าวเดินอย่างช้า ๆ ทั้งกลีบบัวและกาลัดก็พยายามปกป้องฉันให้ปลอดภัย
“ฝืนแรงขาอีกหน่อยนะเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดบอกฉัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉันที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเอ่ยถาม
“นั่นคือเวนไตยเพคะ เจ้าผู้ปกครองเมืองสุบรรณ เป็นอริกับเผ่าพันธุ์ของเรา”
“ใครเวรตะไลนะ”
“เวรไตยเพคะหาใช่เวรตะไลไม่”
เสียงที่ดังกึกก้องทำให้ฉันฟังกลีบบัวไม่ชัด เธอจึงรีบบอกย้ำในสิ่งที่ฉันฟังผิดไป ตอนนี้พวกฉันสามคนวิ่งหนีห่างออกมาไกล แต่เสียงการต่อสู้ก็ยังคงดังก้องเหมือนอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
“เออเวนไตยหรืออะไรก็ช่าง ฉันไม่น่าหาเรื่องอยากรู้อยากเห็นเลย น่ากลัวฉิบหาย ตัวก็สั่นไม่หยุด”
“รีบกลับไปยังตำหนักเจ้านางน้อยเถิดเพคะ ที่นี่ไม่ปลอดภัย ปล่อยให้ท่านอาศิรวิษกำราบเสียให้สิ้น จะได้หลาบจำไม่มารุกรานพวกเราอีก”
“นี่ใช่ครั้งแรกเสียที่ไหนกลีบบัวที่ท่านเวนไตยละลานพวกเรา”
“ก็จริง”
“ไม่ใช่ครั้งแรก แสดงว่ามาหาเรื่องเมืองเราบ่อยเหรอ”
“เพคะ”
“อันธพาลนี่หว่า”
“เป็นเพราะว่าท่านเวนไตยมีใจชมชอบเจ้านางน้อยเพคะ”
“ห๊ะ!!!”
สิ่งที่กาลัดและกลีบบัวบอกเล่าในประโยคสุดท้าย ทำให้ฉันหยุดวิ่งทันที ก่อนจะหันไปมองหน้าสองสาวด้วยความตกใจ เหมือนความซวยกำลังตกมาอยู่ที่ฉันในร่างผณินทรเสียแล้ว
“บ้าบออะไรกันอีกละเนี่ย”
“ท่านเวนไตยชื่นชมเจ้านางน้อยมาแต่ไหนแต่ไร เคยทาบทามกับเจ้าหลวงแต่ถูกปฏิเสธ เพราะใครก็ต่างรู้ว่าท่านเวนไตยนั่นประพฤติตนไม่งาม เสเพลเรื่องสตรีเพคะ และการปฏิเสธจึงทำให้ท่านเวนไตยไม่พอพระทัย จนบางครั้งรุกล้ำข้ามเขตแดนและท่านอาศิรวิษเป็นผู้ปกป้องเสมอมาเพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวเล่าเรื่องราวยาวเหยียด ฉันฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ และมันคงจะเป็นปัญหาของฉันในอนาคตอีกเป็นแน่
“เฮ้อ เหนื่อยใจรอเลยฉันต้องเจอกับอะไรบ้างเนี่ย” ฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างคนหมดแรง ฉันไม่อยากจะนึกถึงอนาคตเอาเสียเลย
ตุบ!
(“ไม่นึกฝันว่าเราจะได้เจอกันในเวลานี้ เจ้านางน้อยผณินทร”)
“เฮือก! 0.0"
