2-แค่เพียงบังเอิญ 1/4
“เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะเจ้านางน้อย รู้สึกดีหรือไม่” เพียงแค่ฉันลืมตาตื่นเสียงทักก็ดังขึ้น จึงหันไปมองพบเป็นกาลัดที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“อืม หลับสนิทดี แล้วนี่กลีบบัวไปไหนล่ะ?” ฉันพยุงตัวลุกนั่งทั้งที่ยังมีอาการงัวเงีย ไม่เห็นกลีบบัวจึงได้ถามขึ้น
“ห้องครัวเพคะ เตรียมสำรับให้เจ้านางน้อย” กาลัดตอบ
“ตอนนี้กี่โมงกี่ยามละ” ฉันถามกาลัดทั้งที่ยังสะลืมสะลือมือขยี้ตาเบา ๆ
“ย่ำค่ำแล้วเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดตอบฉัน และมันก็ทำเอาตาฉันสว่างโล่ เพราะงุนงงกับเวลาที่กาลัดบอก
“ย่ำค่ำนี่กี่โมงวะ” ฉันเกาหัวงึมงำกับตัวเอง “เออย่ำค่ำก็ย่ำค่ำ”
“เจ้านางน้อยทรงตรัสว่ากระไรหรือเพคะ” กาลัดถามพลางขมวดคิ้วงง
“ไม่มีอะไรหรอก บ่นไปเรื่อยน่ะ” ฉันฉีกยิ้มแล้วตอบเธอ
“กลีบบัวไปนานนัก ทำให้เจ้านางน้อยต้องคอยอยู่นาน” กาลัดบ่น พร้อมกับชะเง้อมองไปทางบานประตู
“เออนี่กาลัด แล้วถ้าฉันอยากจะอาบน้ำล่ะต้องไปตรงไหน”
“สระบัวแก้วมรกตเพคะ เป็นสระส่วนพระองค์ที่เจ้าหลวงสร้างขึ้นเพื่อเจ้านางน้อยพระองค์เดียวอย่างไรเพคะ...ทรงลืมอีกแล้วรึเพคะ”
“ชื่อเพราะดีจัง”
“กลีบบัวมาพอดี”
ฉันกำลังนั่งคิดเพลิน ๆ ต้องชะงักเมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้น เป็นกลีบบัวที่มาพร้อมกับสำรับที่มีคนยกตามหลังเข้ามา
“ผ้าชุบน้ำเพคะเจ้านางน้อย จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น” กลีบบัวยื่นผ้าชุ่มน้ำมาตรงหน้า ฉันรับมาและทำตามอย่างว่าง่าย ก็ไม่รู้ว่าจะฝืนไปเพื่ออะไร ขนาดการมาที่นี่ฉันก็ยังจับจุดไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ขอบใจนะ”
“จะ จะ เจ้านางน้อยพูดขอบใจบ่าวอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ข้าหูฝาดไปไหมวะกาลัด”
มันแปลกตรงไหนกับการที่ฉันพูดแบบนี้ ทำให้ทั้งกาลัดและกลีบมองมองหน้ากันด้วยความงุนงง และฉันก็งงพวกหล่อนเช่นกัน
“ข้าก็เช่นกันกลีบบัว”
“อะไรกันอะ แค่พูดขอบใจเองนะแปลกตรงไหน?”
“ตรงที่เจ้านางน้อยไม่เคยพูดกับพวกหม่อมฉันอย่างไรเล่าเพคะ” กลีบบัวรีบตอบหน้าตาตื่น
“เป็นสตรีที่ขึ้นชื่อว่าสุดแสนจะเย็นชา แล้วมากล่าววาจาเช่นนี้กับบ่าวอย่างหม่อมฉันเลยรู้สึกแปลกหูเพคะ” กาลัดพูดเสริมต่อ
“ฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ? (“ไม่สินั่นไม่ใช่ฉัน แต่เป็นผณินทรต่างหาก”)” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้าไม่ใช่ตัวตนของตัวเองจึงเข้าใจได้
“เพคะ”
“หิวแล้วล่ะ”
“พวกเจ้ายกสำรับมาถวายเจ้านางน้อยได้แล้ว” กลีบบัวหันไปออกคำสั่งคำเหล่าบริวาร จากนั้นสำรับก็ถูกวางตรงหน้าของฉันมากมาย หน้าตาของอาหารสวยสดงดงาม จนฉันไม่กล้าจะตักเข้าปาก
“ทอดพระเนตรอยู่นานแล้ว เจ้านางน้อยไม่สบายพระองค์หรืออย่างไรเพคะ” กลีบบัวพูดขึ้นทำให้ฉันต้องละสายตาจากอาหาร แล้วมองไปยังเธอที่กำลังชักสีหน้าสงสัย
“หน้าตาอาหารดีเกินไปจนไม่กล้ากิน” ฉันให้คำตอบ
“เสวยเถิดเพคะ ประเดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน” เป็นกาลัดที่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นฉันก็ข่มใจตักอาหารเหล่านั้นเข้าปาก คำแรกที่ได้ลิ้มรสมันจะจับใจเสียเหลือเกิน มันอร่อยมากจนฉันอยากจะตะโกนดัง ๆ รสชาติอาหารทำให้ฉันลืมเรื่องหน้าตาไปหมดสิ้น ตอนนี้ฉันนั่งตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย จนท้องของฉันเริ่มจุกแน่น
“เอิ้ก! อุ๊ย!...โคตรอิ่มเลยอร่อยมาก” ฉันเผลอหลุดเสียงออกมาเพราะความอิ่ม จนรีบยกมือปิดปากแล้วมองไปทางกาลัดกับกลีบบัวด้วยความอับอาย ทั้งสองคนก็ก้มหน้าอมยิ้มก้ำกึ่งหัวเราะ คงเพราะเสียงเรออันน่ารักของฉันที่พ่นออกมาหลังกินข้าวเสร็จ
“ต่อหน้าผู้อื่นเจ้านางน้อยจะกระทำเยี่ยงนี้ไม่งามนะเพคะ” กลีบบัวผู้เรียบร้อยบอกฉันด้วยคำพูดอ่อนโยน
“จ้า ฉันรู้...แค่ลืมตัวไปนิดนึง”
“เจ้านางน้อยทรงสรงน้ำเลยหรือไม่เพคะ นี่ก็มืดมากแล้ว”
“อืม เหนียวตัวจะแย่”
หลังจากที่นั่งย่อยสักพักกาลัดก็พูดขึ้น เป็นอะไรที่ดีมากเพราะตั้งแต่ที่ฉันรู้สึกตัวน้ำยังกระทบผิวของฉันสักหยด การมาอยู่ตรงนี้แม้จะยังไม่ข้ามคืน ความคิดถึงและคะนึงหาครอบครัวก็ทำให้หัวใจของฉันหว้าเหว่เหลือเกิน แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อมันไร้หนทางกลับ ฉันจำต้องอยู่ในสถานะนี้ด้วยความจำยอมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ให้ได้ แม้ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญมากเหลือเกินก็ตาม
แสงไฟจากตะเกียงเพียงรำไร ทำให้พอเห็นเส้นทางเดินที่กำลังจะมุ่งหน้าเพื่อไปยังสระบัวแก้วมรกต ฉันเดินตามหลังกาลัดกับกลีบบัว พร้อมกับสอดสายตามองโดยรอบด้วยความใคร่รู้ และหูของฉันก็ดันได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้ามา ทำให้ฉันต้องชะงักขาหยุดเดินทันที
“เสียงอะไรอะ”
“เสียงจากที่ใดหรือเพคะเจ้านางน้อย”
“มาจากทางนั้น”
ฉันหยุดนิ่งแล้วพยายามฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจ เสียงเหมือนกำลังมีการปะทะกัน เสียงของการต่อสู้หรืออะไรสักอย่าง จนกาลัดถามขึ้นฉันจึงขี้นิ้วไปตามเสียงที่ดังเข้าหู ซึ่งอยู่ฝั่งขวามือของฉัน
“หม่อมฉันไม่ยักจะได้ยินเพคะ” กลีบบัวพูดต่อ
“แต่ฉันได้ยินจริง ๆ นะ นั่นไงดังอีกแล้ว”
(“เจ้านางน้อย!”)
เสียงเริ่มดังขึ้นอีกระลอก พูดจบฉันก็รีบวิ่งไปตามเสียงนั้นทันที โดยไม่สนกาลัดกับกลีบบัวเลย มันดึงดูดความอยากรู้ของฉันมาก เสียงเหมือนเหล็กกระทบกระทั่งดังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนว่าฉันกำลังเข้าใกล้เสียงนั้นเต็มที และสุดท้ายฉันก็มาถึงที่หมายเห็นภาพทุกอย่างเต็มสองตา มันทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ...
