บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 : คือความจริงมิใช่ฝัน

นานนับชั่วโมง อามาร์ถึงยอมถอดถอนเนื้อร้อนออกจากร่างงามคับแน่นที่ตอดรัดคลึงตนเองหนักหน่วงออกมาด้านนอกเพื่อให้สาวเจ้าได้พักผ่อนร่างกายหลังจากที่ตนได้ตักตวงความหวานหอมของพุฒิตามาตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า

อามาร์มองใบหน้างามของแม่ยอดรักยอดเสน่หาของตัวเองแล้วหัวใจพันปีของตนเองก็เต้นแรงผิดจังหวะและยิ่งได้ครอบครองยิ่งทำให้หวงแหนคนที่หลับสนิทบนเตียง อยากจะเก็บร่างเล็กไว้ดูคนเดียวและคลอเคลียเย้าหยอกยามค่ำคืน

“ข้ารอเจ้ามานานเหลือเกินพุฒิตาของข้า”

อามาร์พึมพำกับคนหลับสนิทแล้วผละลุกขึ้นลงจากเตียง จากกายเปลือยเปล่าก็มีเสื้อผ้าชุดใหม่มาสวมใส่ให้เรียบร้อย คราบเหงื่อไคล เนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะก็สะอาดหมดจดราวกับอาบน้ำใหม่ ส่วนคนที่หลับก็มีเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่ให้เพียงแค่มือหนาสะบัดเล็กน้อยเท่านั้น

“มีแค่ความตายเท่านั้นที่จะพรากเราสองอีกครั้ง ทูนหัวของข้า” อามาร์บอกนางในดวงใจแล้วก็หายไปจากห้องเพื่อไปพบกับบาซาที่ห้องทำงานของตนเอง

บาซาเห็นสีหน้าอิ่มล้นเต็มไปด้วยความสุขของนายแล้วก็ยิ้มตามและดีใจที่ในที่สุดการรอคอยของอามาร์ก็สิ้นสุดลง และหวังเหลือเกินว่าหลังจากนี้นายของตนจะมีความสุขและไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดเหมือนครั้งอดีตที่ผ่านมา

“เรื่องครอบครัวของนางเรียบร้อยดีรึไม่บาซา”

“เรียบร้อยอามาร์” บาซาตอบ

“เจ้าว่าถึงเวลาที่ข้าจักมีตัวตนรึยัง” คนที่ซ่อนอยู่หลังม่านมาตลอดเอ่ย

“ควรค่าแล้วอามาร์”

“จัดการทุกอย่างให้ข้าด้วยบาซา พรุ่งนี้ข้าจักเปิดตัวต่อสื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าข้าคืออามาร์ เจ้าของโรงแรมแห่งนี้” เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาทุกสื่อต่างอยากได้รูปของตนและตอนนี้ก็ควรค่าแก่เวลาที่จะเปิดเผยแสดงตนให้เห็นกันแล้ว

“ขอรับอามาร์” แล้วบาซาผู้ที่ออกหน้าแทนผู้เป็นนายมาตลอดก็หายตัวไปทันทีเพื่อไปจัดการเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยตามใจปรารถนาของอามาร์

พุฒิตาขยับไล่ความปวดเมื่อยของร่างกาย ก่อนจะปรือตาตื่นขึ้นมาตอบรับกับแสงในยามกลางวัน เธอกะพริบตาให้คุ้นชินกับแสง ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องพร้อมขยับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง แล้วก็สังเกตว่าตอนนี้ตัวเองใส่เสื้อผ้าอยู่และเป็นชุดใหม่ไม่ใช่ชุดที่ถูกชายประหลาดเปลี่ยนให้เมื่อคืน วันนี้เธอสวมชุดเดรสลายดอกไม้สีม่วงอ่อนซึ่งเป็นแบบที่เธอชอบใส่ปกติในชีวิตประจำวัน

พุฒิตาขยับกายลุกลงจากเตียงด้วยความยากลำบากเมื่อความเจ็บร้าวกลางหว่างขาทำให้ต้องสูดปากแรงๆ และนั่นก็ตอกย้ำว่าเรื่องราวเมื่อคืนที่ผ่านมามันคือความจริงไม่ใช่ฝันละเมอเพ้อไปเอง เธอขยับลงจากเตียงก็เห็นคราบเลือดที่แห้งกรังติดบนผ้าปูเตียงนอนสีขาวก็เม้มปากแน่นแล้วน้ำตาก็อาบคลอล้นออกมานอกดวงตาไหลอาบสองแก้มนวลโดยที่เธอห้ามความรู้สึกจุกแน่นในอกครั้งนี้ไม่ได้

อึก!

เสียงสะอื้นไห้ดังลอดออกมาจากปากน้อยที่เม้มแน่นแล้วมือน้อยก็ยกขึ้นปาดป้ายเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบเปื้อนแก้มตนเองก่อนมันจะหยดลงพื้น เธอพยายามกลืนก้อนสะอื้นไว้ในอกแล้วก้าวลงจากเตียงพร้อมมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะเดินไปยังระเบียงห้องเพื่อมองดูด้านนอก เพราะบรรยากาศข้างในห้องค่อนข้างโบราณ เธอพาร่างกายอ่อนแอของตัวเองเดินออกมานอกระเบียงห้องแล้วมองไปยังเบื้องหน้าตัวเองก็เห็นตึกสูงระฟ้าเต็มไปหมดและมองดูข้างล่าง รถก็แล่นตามถนนและติดขัดเหมือนปกติ ทุกอย่างข้างนอกยังคงเป็นกรุงเทพฯ ปกติไม่ได้แตกต่างไปจากที่ตนรู้จักแม้แต่น้อย แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง

“เจ้ามิต้องสงสัยพุฒิตา ทุกอย่างยังคงปกติ เพียงแต่ว่าเจ้าอยู่ในโลกมายาของข้าเท่านั้นเอง เจ้าจักมองเห็นทุกอย่างตรงหน้าเหมือนปัจจุบัน เพียงแต่คนข้างนอกจักมองมามิเห็นเจ้า”

เสียงทุ้มพร่าของอามาร์ดังลอดออกมาจากริมฝีปากหนาสีเข้มข้างแก้มนวลเนียนจนเธอต้องหดคอถอยหนี แต่ก็ไม่อาจเดินหนีจากตรงนี้ได้เมื่อแขนแข็งแรงของชายประหลาดกอดรัดตนแน่นจากด้านหลัง พุฒิตาพยายามแกะมือหนาที่สอดประสานกันอยู่หน้าท้องแบนราบตัวเองออก แต่ให้ตายเถอะ ยิ่งพยายามเขาก็ยิ่งกอดรัดแน่นราวกับว่าติดกาวตราช้างกับมือทั้งสองก็มิปาน

“อย่าพยายามในสิ่งที่เจ้ามิอาจหนีหรือปฏิเสธได้พุฒิตา” อามาร์รู้ว่านางอยากจักหนีไปจากตรงนี้และหนีไปจากตน แต่มีหรือเขาจักปล่อยให้นางจากไป ตลอดเวลาหลายพันปี เขาทรมานมามากพอแล้ว ต่อแต่นี้ไปชีวิตของเขาที่มีนางจักมีแต่ความสุข

“คุณปล่อยฉัน!” เธอไม่สนใจคำพูดจาโบราณลิเกพวกนี้ สิ่งเดียวที่สนใจคือต้องการอิสระจากผู้ชายแปลกประหลาดคนนี้

“เจ้าขอในสิ่งที่ข้าทำมิได้” แล้วเวตาลอมตะก็กอดนางแน่นจากด้านหลังแล้วยกอุ้มจนร่างเล็กลอยขึ้นเหนือพื้นพาเดินกลับเข้าไปในห้องนอนโดยไม่สนว่านางจักดิ้นรนต่อต้านมิยินยอมให้ตนกอดอุ้ม

หึหึ

อามาร์แค่นขำในคอให้กับความดื้อพยศของนางในดวงใจ แม้นางจะจำอดีตของตนและนางไม่ได้ แต่เขาก็เชื่อว่าเขาจักทำให้นางกลับมา ‘รัก’ ตนอีกครั้งเหมือนในอดีตที่เคยผ่านมา

พุฒิตาพยายามดิ้นสุดแรงเกิด แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากวงแขนแข็งแรงของชายผู้นี้ได้ แล้วพอมาถึงในห้องเขาก็ยอมปล่อยเธอให้นั่งลงกับเตียงโดยเขานั้นยืนมองจ้องเธออยู่ข้างเตียงจนเธอรู้สึกหนาวกับสายตาที่จดจ้องมองมาราวกับว่าเปลื้องผ้าเธอทางสายตาอยู่ก็มิปาน

“อย่ามองฉันด้วยสายตาเปลื้องผ้าแบบนี้” เธอบอกสั่งเขาให้หยุดเลิกมองตัวเองด้วยสายตาแบบนี้ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกหนาวกับสายตาคู่นี้พร้อมกับหัวใจที่สั่นระรัวเร็วจนตัวเธอเองก็ควบคุมความเต้นถี่ของมันไม่ได้

“ถึงข้ามิมองจ้องแบบนี้ ข้าก็มองทะลุชุดที่เจ้าใส่ไปเห็นเนื้อหนังมังสาของเจ้าพุฒิตา เอาล่ะ ข้าว่าเรามาคุยกันดีกว่า ข้าจักแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการและจำไว้ว่าข้าคือใคร” อามาร์พูดพร้อมยกมือขึ้นกอดอกแล้วเก้าอี้ก็มาปรากฏอยู่ด้านหลังแล้วเขาก็ย่อตัวลงนั่งและนั่นทำให้พุฒิตาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ใช่แล้ว ทุกอย่างมันเหมือนไม่ใช่ความจริง มันเหมือนฝันและมันไม่น่าจะมีเรื่องแบบนี้ในยุคสองพันยี่สิบสองเช่นนี้

“มิต้องแปลกใจและหวาดกลัวในตัวข้าพุฒิตา เจ้าจะได้เจอทุกอย่างที่เหนือความคาดหมายกว่าที่เห็นในตอนนี้อีกยอดดวงใจข้า” อามาร์เดาสีหน้าและอ่านความคิดในหัวของนางออกทุกอย่าง

“คุณเป็นตัวอะไรกันแน่ บอกฉันมา”

“ข้าก็กำลังจักบอกเจ้านี่ไงเล่าดวงใจข้า” เขาพูดพร้อมยกมือยื่นไปหมายจะลูบจับแก้มนวลเนียน แต่นางก็ปัดมือของเขาออกพร้อมกับสั่งเสียงแข็ง

“อย่าแตะต้องฉัน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel